ผมชื่อนายสันติ พะลีเกิดที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี พ่อและแม่ของผมเป็นกะเหรี่ยง ครอบครัวของเรา ไม่ว่าจากสายปู่ย่าหรือตายายเป็นชาวเขาที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มาตั้งแต่ดั้งเดิม ตาทวดของพวกเคยเป็นกำนันในสมัยรัชกาลที่ ๕ ใครก็รู้ว่าพวกเราเป็นกะเหรี่ยง แต่เราไม่มีปัญหาเรื่องสัญชาติไทยเลย ชื่อของครอบครัวของเราถูกบันทึกในทะเบียนราษฎรไทยมาตั้งแต่ต้นประวัติศาสตร์ชาติไทย
แต่พี่น้องกะเหรี่ยงของแผ่นดินไทยจำนวนมากไม่โชคดีเหมือนผม
พวกเราที่สวนผึ้งจึงพยายามที่จะใช้ พ.ศ.นี้ ในการเข้าแก้ไขปัญหาให้พี่น้องในพื้นที่ของเรา จะเป็นกะเหรี่ยงหรือไม่ เราก็จะเข้าไปช่วยเหลือ เราขอย้ำว่า เรามิได้ต่อสู้เพื่อขอสัญชาติให้กับใครคนใดคนหนึ่ง เราต่อสู้ในพวกเขาได้มี “สิทธิและหน้าที่ที่เขาพึ่งมีตามกฎหมายไทย”
ครับ ผมย้ำ “กฎหมายไทย” กฎหมายที่ครอบคลุมแผ่นดินนี้อย่างสมบูรณ์และเด็ดขาด พวกเราทั้งหมดในสวนผึ้งที่มาผนึกหัวใจเข้าด้วยกัน ได้ขอให้ศูนย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ มาสอนกฎหมายให้กับเรา เราจะแก้ไขปัญหาโดยกฎหมาย เราจะแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา เราจะแก้ไขปัญหาด้วยความรักในแผ่นดินไทยและมวลมนุษยชาติ เราสัญญา
พวกเรา ชุมชนสวนผึ้ง มีทั้งที่เป็นข้าราชการ อาทิ นายอำเภอเสือ นักวิชาการ อาทิ อาจารย์วุฒิ หรือชาวบ้านธรรมดา พี่ธนพล ในหมู่พวกเรา มีทั้งที่เป็นกะเหรี่ยงและมิใช่ อาทิ
ท่านนายอำเภอเสือ นายอำเภอพยัคฆพันธุ์ โพธิ์แก้ว เรารอท่านมาตลอดชีวิต ท่านมาถึงช้าเหลือเกิน แต่ในที่สุด ท่านก็มาถึง ท่านไม่ใช่กะเหรี่ยง แต่ท่านมีหัวใจ มีความรู้ ท่านแยกแยะกะเหรี่ยงไทยในมะริดตะนาวศรีได้จากกะเหรี่ยงในพม่า อยากในกรมการปกครองมีนายอำเภอเสือสัก ๕๐๐ คน กรมการปกครองก็จะเป็นส่วนราชการที่คุ้มครองชีวิตของราษฎรไทยอย่างอบอุ่นที่สุด ท่านนายอำเภอครับ (หันไปหานายอำเภอ) คนสวนผึ้งรักและนับถือท่านมาก มากที่สุด
อาจารย์วุฒิ บุญเลิศ เป็นนักวิชาการที่แผ่นดินสวนผึ้งภาคภูมิใจ อาจารย์เป็นกะเหรี่ยงที่รู้จักประวัติศาสตร์ของกะเหรี่ยงในแผ่นดินสยาม เป็นภูมิปัญญาของคนภูเขา อาจารย์สอนให้พวกเราเข้าใจเหตุผลและความรัก อาจารย์สอนให้เรารู้จักหน้าที่ของพลเมืองไทย โดยที่ไม่ละเลยวัฒนธรรมของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง กะเหรี่ยงราชบุรีจึงรู้จักที่จะผสมผสานความลุ่มลึกของภูมิปัญญาไทยดั้งเดิมและกะเหรี่ยง เรื่องนี้มิใช่พึ่งเกิด เรื่องนี้เกิดมาตั้งแต่ยุคที่ในหลวงรัชกาลที่ ๕ เสด็จมาโปรดชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงแล้วล่ะครับ และ ด้วยเกล้าด้วยกะหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเหล่ากะเหรี่ยงราชบุรีจะสานงานนี้ให้ดำเนินต่อไป และต่อไป ความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ปรากฏในความเป็นเอกภาพทางจิตใจจะคงดำเนินต่อไปด้วยความร่วมมือของพวกเราชุมชนสวนผึ้ง
พวกเราชุมชนสวนผึ้ง มิใช่แค่ปรากฏในรายชื่อในคำสั่งจังหวัดราชบุรีเท่านั้น พวกเรายังมีอีกมากที่สวนผึ้ง
พวกเราขอกราบขอบคุณทุกท่านที่มิใช่คนในสวนผึ้ง แต่ก้าวเข้ามาช่วยเหลืองานของเรา โดยเฉพาะคุณสรินยา กิจประยูร พี่ต้องของเรา พี่ต้องทำงานหนักเพื่อชาวเขาในพื้นที่สูง ป่วยเข้าโรงพยาบาลหลายหน รักษาสุขภาพนะครับ
ขอขอบคุณ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านปลัดจังหวัดที่เอาใจใส่ไปเยี่ยมเราถึงสวนผึ้ง พี่จ่าจังหวัดที่สนับสนุนให้การดำเนินงานเป็นไปได้ วันนี้คงไม่มี หากท่านเหล่านี้ไม่เข้าใจ
ขอขอบพระคุณ ท่านที่เคารพจากกรุงเทพฯ จากเชียงใหม่ หรือที่อื่นๆ ที่ผมไม่ทราบ ช่วยให้ความคิดเห็นเพื่อทำให้ความตั้งใจของเราเป็นไปด้วยดีด้วยเถอะครับ
จะเห็นว่า ท่านอาจารย์พันธุ์ทิพย์พูดมาแล้วในฐานะธรรมศาสตร์ว่า ธรรมศาสตร์ได้เข้ามาช่วยและจะช่วยต่อไปอย่างไร พี่ต้องในฐานะผู้ดูแลโครงการช่วยเหลือประชาชนบนพื้นที่สูงจากส่วนกลางก็ได้พูดถึงตัวแผนในภาพรวม ท่านนายอำเภอเสือของผมก็พูดถึงประโยชน์ที่แผนนี้จะมีต่อสวนผึ้งและแผ่นดินไทยแล้ว ผมจึงคิดว่า ผมควรจะมาพูดในมุมมองของชาวบ้านสวนผึ้ง ภาคประชาชนในสวนผึ้งจะเข้ารับผิดชอบต่อแผ่นดินในแผนนี้ได้อย่างไร
พวกเราชาวบ้านรู้จักดินทุกก้อนในสวนผึ้ง ต้นไม้ทุกต้นในสวนผึ้ง และคนทุกคนในสวนผึ้ง ใครอยู่มานานแล้ว ใครพึ่งเข้ามา พวกเรารู้ดี เราจึงอาสาที่จะเป็นคนเริ่มต้นทำงานตามแนวคิดของกฎหมายและแนวนโยบายแห่งรัฐตามที่อาจารย์พันธุ์ทิพย์ได้อธิบายมาแล้วในตอนแรก
คนกลุ่มแรกที่พวกเราจะต้องเข้าช่วยเหลือ ก็คือ คนที่มีข้อเท็จจริงที่ชี้ว่า เป็นคนไทยตามกฎหมายแล้ว เราก็จะช่วยรวบรวมเอกสาร ทำคำร้อง และพาชาวบ้านไปอำเภอ หรือพาอำเภอเคลื่อนที่ไปหาชาวบ้าน อย่างที่ภาษาราชการเรียกว่า “การลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนราษฎร” ไงครับ เราให้สัญญาได้เลยว่า เราจะเป็นกลางที่สุด เราเข้าใจดีว่า ราคาของความไว้วางใจจากทุกฝ่าย ก็คือความตรงไปตรงมา ถ้าเราเจอแรงงานต่างชาติแฝงตัวเข้ามา เราจะกระซิบบอกอำเภอครับ แต่ถ้าเราเจอคอรับชั่น เราก็จะกระซิบบอกครับ เอ.. เราจะบอกใครดีครับ เอ.. นายอำเภอครับ พี่จ่าหวัดครับ อาจารย์พันธุ์ทิพย์ครับ แนะนำผมหน่อย อย่างหลังนี้ ได้ข่าวว่า มีมากในภาคเหนือ สวนผึ้งเรา อย่าให้เกิดขึ้นเลยนะครับ
คนกลุ่มที่สองที่เราจะทำงานด้วย ก็คือ ชาวเขากลุ่มสองอย่างที่พี่มนตรีและพี่กรมการปกครองเรียก คือคนที่อพยพเข้ามาจากต่างประเทศ แต่เข้ามานานแล้ว ท่านทั้งหลายครับ อาจารย์พันธุ์ทิพย์สอนผมว่า คณะรัฐมนตรีให้คนเหล่านี้ที่เป็นชาวเขามี “สิทธิอาศัยอยู่ถาวรในประเทศไทย” มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๘ และคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๓ ให้คนเหล่านี้ที่เป็นบุคคลบนพื้นที่สูงที่มิใช่ชาวเขามี “สิทธิอาศัยอยู่ถาวรในประเทศไทย” แปลว่า เขาจะไม่อาจถูกส่งกลับออกไปนอกประเทศไทยนะครับ เขาไม่อาจถูกจับหากเขาไม่ออกนอกพื้นที่ที่เขามีทะเบียนราษฎรนะครับ แต่ปัญหาก็คือ บางคนยังไม่มีกระดาษที่เรียกว่า “ท.ร.๑๓“ หรือทางงานทะเบียนชนกลุ่มน้อยยังไม่มาออกบัตรประจำตัวให้ หรือบัตรหมดอายุ ถูกจับเป็นประจำ ในสมัยก่อนๆ ที่พวกเราในสวนผึ้งจะเริ่มเรียนกฎหมาย กฎหมายนี้ดีนะครับ เราใช้ในการแก้ไขปัญหาได้โดยสันติวิธี ไม่ต้องมาม๊อบกัน เผาสถานีตำรวจอย่างนี้ เราจึงจะแก้ไขปัญหาของชาวบ้านกลุ่มนี้ โดยไปช่วยให้มี “เอกสารพิสูจน์ตนตามกฎหมายไทย” ภาษากฎหมายครับ อาทิ บัตรสีฟ้า สำเนาแบบพิมพ์ประวัติ ใบสูติบัตร ท.ร.๑๓ และเอกสารทั้งหลายก็จะเป็นเอกสารที่ใช้ในการร้องขอใบต่างสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวและการแปลงสัญชาติเป็นไทยสำหรับคนที่เกิดนอกประเทศไทย หรือในการร้องขอสัญชาติไทยโดยการเกิดของพวกลูกๆ ที่เกิดในประเทศไทย ที่สุดของความฝันของพี่น้องกะเหรี่ยงในป่าราชบุรี ตัวอย่างของคนที่เราจะทำงานแบบบนี้ด้วย ก็คือ ครอบครัวของพี่ทุม่วงจากห้วยคลุม และครอบครัวของลุงปิลูจากห้วยคลุม
คนกลุ่มที่สามที่เราจะทำงานด้วย ก็คือ พี่มานะอธิบายให้เราฟังว่า พวกเขาคือพวกที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในสวนผึ้งตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๘ จนถึง ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๕ เป็นคนที่อพยพจากต่างประเทศ แต่พึ่งเข้ามาไม่เกิน ๑๕ ปี ท่านทั้งหลายครับ พี่ตี๋สอนผมว่า คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๓ ผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลา ๑ ปี ก็คือ พวกเขามีสิทธิอาศัยในสวนผึ้งได้จนถึงวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๔ พี่ตำรวจครับๆ มีบางท่านยังจับเขาอยู่เลยนะคะ ถ้าเขาไม่ออกนอกสวนผึ้ง จับไม่ได้นะครับ
การผ่อนผัน ๑ ปีนั้น ก็เพื่อให้กรมการปกครองได้แยกแยะว่า คนไหนควรส่งกลับออกไปนอกประเทศในวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๔ พวกใดควรให้สิทธิอาศัยอยู่ต่อไป
งานของชาวบ้านในเรื่องนี้ ก็คือ ช่วยกรมการปกครองทำงานแยกแยะล่ะครับ ผมกับพี่ๆ จากงานทะเบียนชนกลุ่มน้อยทำกันไปเยอะแล้ว ผมอยากจะเรียนผ่านพี่สื่อมวลชนในห้องนี้ไปถึงท่านนายกฯ ชวน ว่า ผมมีคำตอบให้ท่านแล้วล่ะ ผมคิดว่า คนในสถานการณ์อย่างนี้ ควรที่จะอนุญาตให้อาศัยอยู่ต่อไปในประเทศไทย
กลุ่มแรกที่ควรให้อยู่ต่อนะครับ ก็คือ คนที่เป็นพ่อและเป็นแม่ของคนไทยหรือคนที่มีสิทธิอาศัยอยู่ถาวรในประเทศไทยไงครับ เหตุผลก็คือ จะแยกสลายครอบครัวของเขาได้อย่างไร จริงไหมครับ ในเรื่องสถานะบุคคลตามกฎหมายไทย ก็ให้สัญชาติไทยเลยครับถ้าครอบครัวของเขาเป็นไทย หรือถ้าครอบครัวของเขามีแค่สิทธิอยู่ถาวรก็ให้แค่สิทธิอาศัยอยู่ถาวร
กลุ่มที่สองที่ควรให้อยู่ต่อนะครับ ก็คือ คนที่กลับไปแล้วตายครับ เหตุผลก็คือ บาปครับ ให้เขาอยู่ และให้เขากลับไปเมื่อชีวิตปลอดภัย ในเรื่องสถานะบุคคลตามกฎหมายไทย ไม่ต้องให้สัญชาติไทยหรอกครับ สิทธิอยู่ถาวรก็ไม่ต้อง ให้สิทธิอยู่ชั่วคราวก็พอ ถ้ากลัวเขาจะเป็นภาระต่อสังคมไทย ก็อนุญาตให้เขาทำงานซิครับ จะได้เก็บภาษีได้ง่าย เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในแผ่นดินไทย ก็จะต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายด้วยนะครับ คนเราต้องมีทั้งสิทธิและหน้าที่
หมายเหตุ หากจะดูรูปภาพของการตั้งเวทีเสวนาของคนกะเหรี่ยงราชบุรี โปรดคลิกตรงนี้เลยค่ะ
(๑) เริ่มต้นจากการคุยกันที่ห้องประชุม อบจ. ที่จังหวัดราชบุรี
(๒) มาสู่ห้องประชุมของโบสถ์เล็กๆ ที่สวนผึ้ง และ
(๓) จบลงที่บ้าน อ.เจริญ ทานอาหารเย็นกัน โดยฝีมือแม่ของสันติ
สบายดีค่ะ อ.ขจิต
ตอนนี้ ไปต่างจังหวัดไม่ได้เลย
เลยเอากระดาษต่างๆ ในบ้านมารื้อดู เลยเจอถอดเทปของคุณสันติ เธอพูดไว้ดีมากค่ะ
อ่านอีกครั้ง ก็ยังว่า ทันสมัย เลยเอาข้อเขียนและรูปมาเผยแพร่ กรุณาเอาไปเผยแพร่ด้วยนะคะ งานดีๆ แบบนี้ ไม่รู้จะเอาไปลงที่หนังสือพิมพ์ไหน ตอนนี้ เขาก็ตามกระแสกันไปหมด
คิดถึงเหมือนกันค่ะ
รู้สึกว่า อ.แหวว จะเขียนปี พ.ศ. ใน "ประโยคเด่น" ผิดนะคะ
แหม ! ไม่น่าลืมเลยค่ะ แค่ ๘ ปีก่อนนี้เอง !!!!
ขอบคุณครับ ทำให้ผมได้หวนไปทบทวนงานสมัยอยู่ สกว.
ก่อนจะเข้าเรื่อง..ย้อนรอยข้อเสนอกะเหรี่ยงสวนผึ้ง..
พอดีว่า ค่ำวันนี้ (1ธค2551) มีเหตุการ์ธรมชาติที่สร้างความฮือฮา ..กันทั่วฟ้าเมืองไทย เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ.."พระจันทร์ยิ้มเหนือฟ้าสยาม..
เริ่มเรื่องดังนี้ครับ..เย็นนี้ตอนหัวค่ำ ผมขับรถขึ้นไปที่บ้านสวนผึ้ง เพื่อหาคนมาช่วยเกี่ยวข้าว พอมาถึงหมู่บ้านเห็นกลุ่มคนยืนและมองขึ้นไปงท้องฟ้า แต่ก็ไม่ได้เฉลียวใจ เมื่อเสร็จธุระคือคว้าน้ำเหลวเพราะหาคนช่วยเกี่ยวข้าวไม่ได้ ก็นั่งรถกลับบ้าน
ระหว่างทางที่เป็นที่โล่งได้มองขึ้นบนฟากฟ้าด้านตะวันตก พลันก็เห็น ดาว 2 ดวง อยู่เหนือพระจันทร์เสี้ยว พระจันทร์ที่มีรูปทรงเหมือนรอยิ้ม น่าแปลกที่ดวงดาว 2 ดวง ที่ดูเหมือนเป็นดังเช่นดวงตา นั้นมีความสว่างไม่เท่ากัน
..เออนะ มันแปลกดี ผมบอกกับตัวเอง..ในใจลึกๆแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้น จะมีอะไรจะเกิดขึ้น ใครจะบอกได้
จากนั้นผมก็ส่งข้อความไปยังหลายๆท่านที่คุ้นเคยเพื่อร่วมเป็นพยานกับสิ่งที่ผมเห็น ข้อความที่ผมบอกกับหลายท่าน มีดังนี้
..มองขึ้นไปบนฟ้าซิ คืนนี้พระจันทร์ยิ้ม..
ประมาณ 2 ทุ่มผมอยู่ที่วัดในหมู่บ้าน เพื่อฟังพระสวดในงานศพ ในขณะที่ฟังพระสวดใจผมก็ยังคงกระวนกระวาย กับคำถามที่ผมตั้งไว้กับตนเอง
..จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น..ใครจะบอกได้..
ใจผมอยากให้พระสวดในเสร็จเร็วๆ เพื่อจะได้ไปถามคนเฒ่าคนแก่ชาวกะเหรี่ยงสวนผึ้งที่มาร่วมงานศพในคืนนี้ ผู้เฒ่าผู้แก่เหล่านั้นคงช่วยให้ผมโล่งใจได้บ้าง ผมตั้งความหวังเช่นนั้น
ผมได้แทรกตัวเข้าไปในวงสนทนาของผู้สูงอายุชาวกะเหรี่ยง กลุ่มหนึ่งที่มาจากหลายหมู่บ้าน คำถามแรกที่ผมถามกับกลุ่มท่านเหล่านั้นคือ ได้เห็นพระจันทร์ยิ้มเมื่อตอนหัวค่ำหรือไม่ ทุกคนบอกว่าเห็น บางคนก็บอกว่า ไม่เคยเห็นเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อนเลยแก่จขนาดนี้แล้ว
ผมถามกลับไปว่า ..แล้วมันดีหรือไม่ดี อย่างไร คนเฒ่าคนแก่เคยบอกเล่าเรื่องอย่างนี้หรือไม่..
"..ไม่ดีหรอก..อาจารย์ ถ้าพระจันทร์เสี้ยว หงายลักษณะเหมือนเปลนอน..ไม่ดี..ฆังคู้ มูเฆิ้ง..(แผ่นดิน จะหนัก) บ้านเมืองจะเดือดร้อน ประเทศจะวุ่นวาย "เป็นคำบอกของผู้อาวุโสจากบ้านห้วยแห้ง ท่านได้อธิบายเปรียบเทียบไว้น่าสนใจว่า
" ตามปกติแล้ว ดวงจันทร์จะต้องอยู่เหนือดวงดาว หรือดาวจะอยู่ข้างๆดวงจันทร์ หรือไม่ก็ อยู่ล้อมรอบดวงจันทร์ แต่นี่ดาวอยู่สูงกว่าดวงจันทร์ และดาวก็อยู่ในระดับเดียวกัน มันไม่ดี .."
ผู้อาวุโสท่านนี้ยังเปรียบเทียบอีกว่า
" ดวงจันทร์ เปรียบเหมือนผู้นำ หรือพระเจ้าแผ่นดิน ดวงดาวเป็นบริวารคือประชาชน "
ที่เราเห็นนั้นมันไม่ดี มันบอกกับเราว่า บริวาร(ดวงดาว) กำลังอยู่เหนือผู้นำ และดาวทั้งคู่ก็อยู่ในระดับเดียวกัน ต่างก็ถือดี แต่ที่สุดดวงที่สว่างกว่าจะเหนือกว่า จะไม่มีใครเชื่อผู้นำ หรือพระเจ้าแผ่นดิน และผู้นำหรือพระเจ้าแผ่นดินต้องแบกรับของหนักเหมือนกับเปล ที่รับน้ำหนัก เป็นน้ำหนักของแผ่นดิน ( ฆังคู้ เฆิ้ง..แผ่นดินจะหนัก)..
พอผมกลับมาเปิดเมล์ก็พบเมล์ท่านอาจารย์.แหวว..
และคงไม่เสียเวลานะครับที่ผมนำเรื่องความเชื่อของ กะเหรี่ยงสวนผึ้งในเหตุการณ์..คืนพระจันทร์ยิ้มเหนือฟ้าสยาม..
ขอบคุณครับที่ไปแจ้งให้ทราบ เท่าที่ทราบจากผู้เฒ่าผู้แก่ หรือปกากะญอแถวกาญจนบุรีบอกว่าไม่ดีเหมือนกันครับ สมัยก่อน บ้านผมจะอธิบายว่า จะเกิดเรื่องร้ายเกิดขึ้น เช่น ดาวอยู่คู่กับเดือนหมายถึง จะมีคนหนุ่มสาวหนีตามกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติครับ มาให้กำลังใจทุกๆๆคนที่ทำความดี
สนใจทำงานเรื่องสัญชาติเหมือนกัน แต่ตอนนี้มือไม้เต็มหมด
ที่เต็มเพราะว่ามาทำเรื่องสื่อ
เลยคิดมุมที่ทำงานได้
คิดถึง การสื่อสารเรื่องราวผ่านอินเทอร์เน็ต ผสมกับเรื่องของความสามารถของเด็กในชุมชนในการใช้งานไอซีที
อันนี้พอเป็นไปได้
กลับไปช่วยสวนผึ้งได้เป็นจริง
ปีใหม่ ไปขอข้าวพ่อเป็ด กินกัน ดีไหม
ถ้าไม่ดูรูป และไม่ดูวันที่ ก็นึกไปว่าเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อนานนะคะ
อ่านแล้วรู้สึกหัวใจที่อยากทำงานกระชุ่มกระชวยมากขึ้น
ทันสมัยเหมือนอ.แหววพูดคะ
ถ้าเป็นไปได้.....
อยากจะขอให้เกิดขึ้นอีกสักครั้งคะ
อยากจะลงไปช่วยคะ เพราะลงไปหนึ่งอาทิตย์รู้สึกยังน้อยไป
ลืนหอมเป็นไง
สรุปงานที่แม่อายให้ฟังหน่อยซิ
ตามมาให้กำลังใจ สู้ต่อไปนะคะ
อยากให้ทำหน้าที่ต่อไปนะคะ เปิดโอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาส เพราะความเสมอภาค บางครั้งมาจากโอกาสที่ได้รับคะ เพราะหนูก็คือหนึ่งในเด็กกะเหรี่ยงที่ได้รับโอกาส เพราะปัจจุบันทำงานในสถานที่ราชการแห่งหนึ่งในกรุงเทพ อยากให้ทุกคนรับรู้ศักยภาพของบุคคลที่เกิดมาสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะเกิดแผ่นดินไหน ชนเผ่าไหน ความสามรถอยู่ในตัวเราคะ ขอบคุณคะ