ชื่นชมในความดีงามของพี่ๆและอาจารย์


ชื่นชมในความดีงาม

      เมื่อวันที่3 เม.ย 2549  ได้มีโอกาสร่วมทานอาหารเย็นกับท่านอาจารย์และพี่ๆจากสถาบันวิจัยสังคม มช. ที่มาทำงานอบรมการสร้างสื่อโทรทัศน์เพื่อชุมชนและท้องถิ่น  ก่อนที่จะได้มาพบกันนั้นก็ได้รับรู้บางส่วนแล้วว่าท่านอาจารย์อยากจะ ลปรร.  เรื่องสถานการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ เพราะพี่จนท.จากรพ.ที่ได้ไปเยียมอาจารย์วันก่อนเล่าให้ฟังครับว่า  '' ผมไปสังเกตุการณ์การชุมนุม ที่หน้าทำเนีบยทุกคืน  เมื่อครั้งมาประชุม Nation Forum 7" 

      ในการแลก ลปรร กันกลางหุบเขา ที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้  แต่กลับได้รับข้อมูลจากผู้ที่อยู่ในวงในของเรื่องร้อนๆนี้อย่างแท้จริง  คือท่านอาจารย์ด้านสื่อสารมวลชน  นักทำงานและวัจัยเพื่อสังคมทุกคนต่างอยู่ในความรู้สึกอย่างเดียวกันคือ  ต้องการ ลปรร กันเรื่องนี้  ร่วมกับการติดตามข่าวการนับผลการเลือกตั้งอย่างสนุกสนาน  ท่านอาจารย์เล่าถึงการขับเคลื่อนข่าวสารต่างๆ  เพื่อเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริงให้  คนกลุ่มหนึ่งได้รับรู้และเข้าใจ  ที่เชียงใหม่ และเรื่องเหตุการณ์ที่พรรคปชปโดนกระทำ  ..

    เนื้อหาสาระที่ได้  ล้วนเป็นความเห็นที่ต้องการให้เกิดความโปร่งใส  ความงดงาม  และความจริง  การไม่ต้องการให้เกิดการบิดเบือนต่อไป  ซึ่งเราทุกคนก็ต่างคาดหวังว่าทุกอย่างจะจบลง  แต่เมื่อได้ฟังการเปิดใจของท่านผู้นำแล้วเราก็ได้แต่..เฮ้อ.. และก็คงต้องดูและให้กำลังใจผู้คนที่ต่อสู้เพื่อความจริง  เพื่อความดีงามต่อไป

     แต่สิ่งที่เรามองได้ในมุมกลับและคิดว่าเป็นความคิดเชิงบวก(หรืออาจเป็นการปลอบใจเพื่อนร่วมทาง)  คือสิ่งที่งดงามที่เกิดจากเหตุการณืครั้งนี้

        1.ทำให้เห็นภาพและปรากฏการณ์พลังบริสุทธิ์ของประชาชน  ทำให้เห็นว่าสังคมไทยก็ยังมีผู้ที่มีสัมมาทิฐฐิอีกมาก   

         2.ทำให้เห็นภาพความจริงของผู้คนที่มองคนละมุม แม้จะดูเหมือนมันไม่ถูกต้องแต่เขาก็ยังทำ  บางคนกลับไม่เคยมองอดีตตนเองเลยว่าเป็นอย่างไร  อำนาจและเงินทองมันสามารถหลอมจิตใจที่งดงามของคนให้เปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้  

          3.ทำให้เห็นคนต่างสาขาอาชีพสามารถมาคุยกันและแลกเปลี่ยนกันได้อย่างมากมาย  โดยที่แม้ว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  เพี่ยงแต่ว่าเรามีความดีงามในใจ  มิทิศทางความคิดคล้ายกัน

    อาจารย์หลายคนตั้งคำถามว่าอยู่บนดอยและไกลติดชายแดนอย่างนี้สามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆและข้อมูลได้อย่างไร  ก็ได้ตอบท่านไปว่าที่องค์กรนั้นมีอินเตอร์เนท   ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างมากมาย   แต่ก็มีไม่มากครับ  คนในองค์กรมี80 คน  มีไม่ถึงเกิน 5 คน เท่านั้น ที่เข้าใจเรื่องราวได้  เข้าใจและเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆได้  แม้ว่าจะเล่นเนทเหมือนกัน  แม้ว่าการศึกษาก็อย่างน้อยก้ ป.ตรี  แต่ทุกคนก็ส่วนใหญ่จะบอกว่าตนเองเป็นกลาง  ไม่อยากให้แตกแยก  ไม่อยากให้ประท้วง  เป็นสิ่งที่เราก็ไม่แปลกเลยว่า  แล้วชาวบ้านที่ถูกทีวีและวิทยุกรอกหูทุกวันนี้ละ  หรือว่าการรับรู้ไม่ได้เกิดจากการศึกษา  แต่เกิดจากปัญญาญาน  และภูมิความดีงามที่สะสมของแต่ละคน  คล้ายกับคะแนนในกรุงเทพ  ฝ่ายไม่เห็นด้วยก็ชนะไม่ขาดนัก  บางครั้งก็คิดว่าคนกรุงเทพ มีความรู้อยู่ไกล้เหตุการณ์น่าจะโหวด NO VOTE แบบถล่มทลายไปทุกเขตเลยครับ

    สุดท้ายจริงๆนั้นภายใต้หัวข้อสนทนาที่อาจเครียดๆบ้าง  แต่ตลอดการสนทนา  เราก็ได้สังเกตุเห็นใบหน้าที่อิ่มเอมด้วยความทุ่มเท  ความเสียสละ  และชื่นชมในสิ่งที่อาจารย์และพี่ๆเหล่านี้ทำคือการมาถ่ายทอดภูมิความรู้  ให้กับคนบนดอย  เด็กๆหนุ่มสาวผู้ด้อยโอกาสเหล่านี้ถือว่าโชคดีมากครับ 

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 22582เขียนเมื่อ 4 เมษายน 2006 21:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:40 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
ขอขอบพระคุณ คุณสุพัฒน์ ใจงาม ที่ให้ความกรุณาเข้าร่วมกับ ชุมชน: ศูนย์รวมความรู้องค์กรพัฒนาเอกชน
  • น่าสนใจดีนะครับ
  • อยากอ่านอีกครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท