เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ที่ผ่านมา ผมและทีมงานของกลุ่มงานสถาบันเกษตรกร ได้ไปเยี่ยมการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านบึงบ้านพัฒนา หมู่ที่ 12 ตำบลบึงสามัคคี ซึ่งคุณภูมิรพี ขัดเกลา นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรของอำเภอบึงสามัคคีเป็นไกด์นำเราไปเยี่ยมเยียนกลุ่มฯ ในวันนั้น
เกษตรกรกลุ่มนี้ดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการปลูกอ้อย และปลูกข้าว เนื่องจากที่ผ่านมาปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะปุ๋ยเคมีที่เกษตรกรใช้มีราคาที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ในวันที่เราไปเยี่ยมเยียนนั้นกลุ่มฯ ได้พาเราไปดูกิจกรรมการปลูกข้าวของสมาชิกที่มีหลายๆ ช่วงอายุ และในการปลูกข้าวนั้นสมาชิกจะใช้ปุ๋ยเคมีกันในอัตราไร่ละปาะมาณ 1 กระสอบ (กระสอบละ 50 กิโลกรัม) ต้นทุนเฉพาะปู่ยเคมีก็จะตกประมาณไร่ละ 1,300 บาท
กลุ่มเลยคิดที่จะหาวิธีการปลูกข้าวเพื่อลดต้นทุน แต่มีผลตอบแทนที่ไม่ต่างไปจากเดิม กลุ่มจึงได้ทำการทดลองใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่เป็นผลพลอยได้จากโรงงานทำผงชูรส ที่มีชื่อทางการตลาดคือปุ๋ยน้ำ "อามิ" ฉีดพ่นต้นข้าว 2 ครั้ง ในช่วง 2 อายุ คือ
โดยทำการฉีดพ่นทางใบ อัตราการใช้อยู่ที่ประมาณ 1,000 ลิตรต่อข้าว 6 ไร่เศษ (ครั้งที่ 2 จะใช้ประมาณ 700 ลิตรและผสมน้ำเป่าเข้าไปอีก 300 ลิตร) และเนื่องจากราคาปุ๋ยน้ำอามินั้นมีราคาประมาณลิตรละ 1.70 บาท ทำให้ต้นทุนในการใช้ปุ๋ยน้ำชนิดนี้ตกประมาณ ไร่ละ 500 บาท (ไม่รวมค่าแรงฉีดพ่น) ต้นทุนการใช้ปุ๋ยลดจากเดิมประมาณ 700-800 บาท ต่อไร่
แต่เนื่องจากไม่มีผลการทดลองของทางราชการ กลุ่มจึงทำการทดลองกันเอง มีหลายคนที่ได้ลองใช้แล้วผลผลิตไม่แตกต่างจากการผลิตแบบเดิม จึงบอกต่อและปัจจุบันมีสมาชิกในกลุ่มหลายคนสนใจแต่ก็ไม่มีความเชื่อมั่น สมาชิกของกลุ่มจึงต้องใช้แปลงนาของแต่ละคน มาเป็นแปลงทดลองหรือวิจัยผลผลิตว่าจะเป็นอย่างไรจะแตกต่างกันไหมระหว่างแปลงที่ใช้ปุ๋ยเคมี กับแปลงที่ใช้ปุ๋ยน้ำ
ชาวบ้านทำลอง-วิจัยเอง
แปลงนี้อีกไม่นานก็จะพ่นปุ๋ยน้ำแล้ว
เนื่องจากสมาชิกของกลุ่มฯ ได้มีการปลูกข้าวในหลายๆ ช่วงอายุ วันน้นเราเลยได้ไปดูแปลงปลูกข้าวพันธุ์สพรรณบุรี 60 ของคุณสมเกียรติ พิมพ์บุบผา ในพื้นที่ 22 ไร่ เพิ่งฉีดปุ๋ยน้ำครั้งที่ 2 ไปได้ไม่กี่วันข้าวก็กำหลังชูรวงสม่ำเสมอ และต้นข้าวก็แข็งแรงดี ที่แน่ๆ ได้กำไรจากการไม่ใช้ปุ๋ยเคมีไปเป็นเรือนหมื่นแล้ว
เป็นตัวอย่างหนึ่งของเกษตรกร ที่ปรับตัว หาทางรอดด้วยการลดต้นทุนการผลิต แม้ว่ายังไม่มีงานทางวิชาการมารองรับว่าผลของปุ๋ยน้ำนี้ว่าเป็นอย่างไร หรือว่าท่านใดมีข้อมูลก็ช่วยนำมาแลกเปลี่ยนแบ่งปันกันบ้างนะครับ จะได้เป็นวิทยาทาน
ส่วนผมก็คงจะติดตามดูในระยะยาวต่อไปว่าผลจะเป็นอย่างไร ก็คงต้องไปเรียนรู้กับชาวบ้านนั่นแหละครับ เพราะแท้จริงแล้วเกษตรกรเขาก็ทำการทดลองหรือวิจัยกันในแปลงนากันมากมายอยู่แล้ว เป็นงานวิจัยตามบริบทและธรรมชาติ แม้ไม่ได้มีตำแหน่งทางวิชาการรองรับ แต่เขามีชีวิตจริงและความเป็นอยู่ดีมีสุขเป็นหลักประกัน อันเป็นเรื่องจริงที่น่ายกย่อง....
บันทึกมาเพื่อการ ลปรร. ครับ
วีรยุทธ สมป่าสัก 26 พ.ย. 2551