โอเมก้า 3 จำเป็นหรือไม่
จาก หมอรามา ไขปัญหาสุขภาพ เสาร์ 22 พ.ย. 51 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
โดย ศ.พญ. จุฬาภรณ์ รุ่งพิสิทธิพงษ์
อาหารหรืออาหารเสริม ที่ประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัวหลายตำแหน่งชนิดโอเมก้า-3 Omega-3 fatty acids ช่วยลดอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ
ในปัจจุบันพบว่าการบริโภคอาหารหรืออาหารเสริมสามารถช่วยลดอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ สมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกาแนะนำให้คนทั่วไปรับประทานอาหารหรืออาหารเสริม ที่ประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งชนิดโอเมก้า-3 (n-3 polyunsaturated fatty acids, n-3 PUFA) ที่เป็นกรดไขมันจำเป็น เช่น eicosapentanoic (EPA, 20:5, n-3) และ docosahexanenoic (DNA, 22:6, n-3) สามารถช่วยลดอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ
สมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกาแนะนำให้คนทั่วไปรับประทานปลาทะเลน้ำลึก 240 กรัมต่อสัปดาห์ จะสามารถลดอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยหลีกเลี่ยงการทอดและการรับประทานร่วมกับครีมซอสเพราะจะทำให้เพิ่มกรดไขมันอิ่มตัวและกรดไขมันชนิดทรานซ์ได้ การลอกผิวและไขมันใต้ผิวหนังของปลาออกก่อนนำมาปรุงอาหารสามารถลดการปนเปี้อนของสารพิษ เช่น สารปรอทได้ กรดไขมันชนิด EPA และ DHA พบได้ในปลาทะเลน้ำลึกซึ่งพบมากในส่วนของเนื้อและตับปลา
การแสดงปริมาณกรดไขมันชนิด EPA และ DHA ในอาหารต่าง ๆ
ปลาทะเลน้ำลึก ปริมาณกรดไขมันชนิด EPA และ DHA
ปลาแม็คเคอเร็ล (ปลาทู) 2,500 มิลลิกรัม / 100 กรัม
ปลาเฮอริง 1,700 มิลลิกรัม / 100 กรัม
ปลาแซลมอน 1,200 มิลลิกรัม / 100 กรัม
ปลาเทราท์ 500 มิลลิกรัม / 100 กรัม
ปลาทูน่า 400 มิลลิกรัม / 100 กรัม
ปลาคอด 300 มิลลิกรัม / 100 กรัม
(หมายเหตุ : EPA = eicosapentaenoic acids, DHA = docosahexaenoic acids
* ปริมาณกรดไขมันชนิด EPA และ DHA จากปลาทะเลน้ำลึกอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสายพันธ์ ตามแหล่งที่มาและปัจจัยอื่น ๆ
สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจควรได้รับกรดไขมันชนิด EPA และ DHA ประมาณ 1 กรัมต่อวันจากปลาทะเล ในประเทศไทย การรับประทานปลาทะเลที่มีประโยชน์และราคาไม่สูงมากนัก เช่น ปลาทู ปลาโอ เป็นต้น
Omega-3 fatty acids ช่วยลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด
กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งชนิดโอเมก้า-3 สามารถช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด การรับประทานกรดไขมันชนิด EPA และ DHA สามารถลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดได้ประมาณร้อยละ 6 ถึง 8 ต่อ 1 กรัมของกรดไขมันชนิด EPA และ DHA โดยยับยั้งการสร้างและการหลั่งของไตรกลีเซอร์ไรด์จากเซลล์ตับมายังกระแสเลือด โดยไม่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมไขมันในทางอาหารหรือการขับหรือสลายไขมันในกระแสเลืออด
กรณีผู้ป่วยมีภาวะไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงควรบริโภคน้ำมันปลาที่มีกรดไขมัน EPA และ DHA 2 ถึง 4 กรัมต่อวัน
กรดไขมัน EPA และ DHA เมื่อรับประทานเข้าไปจะไปแทนที่กรดไขมันโอเมก้า-6 เช่น arachidonic acids ที่เยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้เปลี่ยนแปลงการทำงานของเซลล์ เช่น การแทนที่ arachidonic acids ของเกล็ดเลือดทำให้การสร้าง thromboxane A2 ลดลง นอกจากนี้ EPA ยังยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ cyclo-oxygenase ทำให้การแข็งตัวของเกล็ดเลือดและการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือด
ข้อควรระวังการใช้น้ำมันปลา
ควรระมัดระวังการใช้น้ำมันปลาร่วมกับ aspirin หรือ non-steroidal antiinflammatory drugs (NSAIDs) เพราะอาจเกิดภาวะเลือดออกง่ายได้.........................
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ครับ
ขอบคุณครับ
น้องที่ทำงานซื้อน้ำมันตับปลากิน
กินบ้างลืมบ้าง
ไม่รู้จะได้ประโยชน์เต็มที่ไหม
สวัสดีครับ นับว่ามีประโยชน์มาก หาสิ่งดีๆมาอีกนะครับ
ขอบคุณทุกข้อความค่ะ. จะหาข้อมูล หลาย ๆ แบบ มาให้อ่านนะค่ะ.
จะได้หลากหลายความรู้นะค่ะ.
สวัสดีค่ะ แวะมาอ่านเรื่องที่ดีมีประโยชน์ ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะค่ะ
สวัสดีครับ ได้ความรู้ดีตอนนี้เป็นโรคหัวใจอยู่ ดูแลสุขภาพด้วยนะครับคุณครู