คำถามนี้ถูกถามอยู่บ่อยๆเมื่อเวลาพาเพื่อนๆหรือคนสนิทไปเที่ยวที่ทับเบิก เป็นคำถามที่ตัวเองก็รู้สึกลำบากใจในการตอบเอามากๆเลย เพราะเป็นการไปแบบไม่ได้ตั้งใจไปและไม่ได้ไปเที่ยวแต่ไปส่งพระบวชใหม่รูปนึงเท่านั้นเอง
วันที่ 19 กรกฎาคม 2548 เวลาประมาณบ่ายโมงกว่าๆก็เริ่มเดินทางไปส่งหลวงพี่เพื่อไปจำวัดที่ต่างจังหวัดแต่ด้วยความผิดพลาดของการสื่อสารระหว่างหลวงพี่กับโยมพ่อโยมแม่ เลยทำให้เข้าใจผิดว่าตกลงจะให้หลวงพี่จำวัดไหนกันแน่? วันนั้นเพื่อนๆ ญาติๆ ก็ได้ขับรถตามกันมา 5 คัน เพื่อจะตามไปส่งหลวงพี่ แต่ปรากฏว่าหลงทางบ้าง ขับรถตามไม่ทันกันบ้าง จึงเสียเวลาจอดรถรอกันบ้าง กินข้าวรอกันบ้าง เติมน้ำมันบ้าง (รู้สึกจะมีอุปสรรคตั้งแต่เริ่มเดินทางเลยนะเนี๊ยะ) กว่าจะถึงหล่มสักก็เย็นมากแล้ว ในใจก็คิดว่าทำไมมันไกลจังเมื่อไหร่จะถึงซักที แต่หารู้ไม่ว่าจริงที่ผ่านมายังไม่ถึงครึ่งทางเลย และสิ่งที่จะเจอข้างหน้านั้นลำบากแค่ไหน
พวกเราได้เริ่มสัมผัสความลำบากของเส้นทางมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าที่ๆเราจะไปมันอีกไกลแค่ไหน เพราะว่าทุกอย่างมืดสนิท ฝนก็ตก สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี ที่ขับๆตามกันมา ก็เริ่มมองไม่เห็นกันแล้ว รู้แต่ว่าทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ และมองไม่เห็นอะไรเลย คนขับรถก็ขับรถไปต่อไม่ได้เพราะมองไม่เห็นอะไรแล้วนอกจากหมอก ทำให้เราและเพื่อนอีกคนต้องลงจากรถเพื่อเดินอยู่ข้างถนนทั้ง 2 ฝั่ง คอยบอกเส้นทางให้คนขับรถว่าจะไปทางไหน ตอนนั้นทั้งฝนตกทั้งมืด หนาวก็หนาว รู้สึกลำบากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้
แต่เมื่อฝนเริ่มซา การเดินทางก็เริ่มสะดวกมากขึ้น แต่พวกเราก็ยังหวั่นๆไม่หายว่าจะเจออะไรอีก ก็ขับรถไปเรื่อยๆ กดโทรศัพท์ไปด้วย เผื่อมีสัญญาณจะได้ติดต่อเพื่อนๆได้ว่าถึงไหนกันแล้ว แต่ก็ติดต่อใครไม่ได้เลย ตอนนั้นก็ไม่รู้จะถามใครดีเพราะระหว่างทางไม่มีบ้านคน มีแต่ภูเขาทั้งนั้นเลย ในใจก็ได้แต่คิดว่า "นี่มันที่ไหนของประเทศไทย...เนี๊ยะ????" ขับไปเรื่อยๆก็เริ่มมองเห็นป้ายหมู่บ้านน้ำเพียงดิน โฮดีใจสุดๆว่ายังไงก็ประเทศไทยแน่ๆไม่ได้หลงไปที่อื่น และก็ขับไปเรื่อยจนเจอป้าย "หมู่บ้านภูทับเบิก" ตอนนั้นก็เวลาประมาณ 4 ทุ่มไปแล้ว พวกเราถึงวัดป่าภูทับเบิกก็เกือบ 5 ทุ่ม บนวัดไม่มีไฟฟ้า ทุกอย่างยังอยู่ในความมืดเช่นเคย เพิ่มความน่ากลัวด้วยเสียงลม และความหนาว
พอลงจากรถก็เริ่มหวั่นๆว่านี้วัดนี้เหรอที่หลวงพี่จะมาจำวัด และคืนนั้นพวกเราก็อาศัยนอนในศาลาวัด
แต่พอรุ่งเช้าทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย แตกต่างจากเมื่อคืนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยแหล่ะหมอกเต็มไปหมดเลย อากาศเย็นสบาย ดอกลำโพงดอกเบ่อเร่อเลย เหมือนสวรรค์ยังไงยังงั้น และนี่ก็คือครั้งแรกที่มาถึงภูทับเบิก แต่ความประทับยังไม่หมดแค่นี้ โปรดติดตามตอนต่อไป.....นะคะ
หวัดดีจ่ะ นู๋อ้อม พี่ตุ่นแนะนำมาเลยมารออ่านว่า ที่ทับเบิกมีอะไรดีที่ทำให้อ้อมไปได้บ่อยนัก (แต่คิดไปคิดมาก็คงจะคล้ายพวกพี่ที่ช่วงหนึ่งก็ไปน้ำหนาวจนถูกคนถามเหมือนกันว่าน้ำหนาวมีอะไรดี )แล้วมาเขียนต่อเร็วๆนะจะรออ่านจ่ะ
พี่แอ้
เข้ามาอ่านดูแล้วนะจ๊ะนู๋อ้อม
ยิ่งอ่านก็ยิ่งน่าติดตาม
ทำให้อยากรู้ขึ้นเรื่อยๆ
ดีตรงที่มีรูปให้ดูประกอบด้วย
ดูรวมๆพี่ชอบนะ
หวังว่าทริปถัดๆไปพี่จะมีโอกาสได้ร่วมประสบการณ์อันน่าหฤหรรษ์กับอ้อมบ้างนะ
น่าเที่ยวมากนะคะ
น่าสนใจอยากไปคะ
แสงแดดอ่อนแย้มรับอรุณยิ้ม
พื้นยอดหญ้าเอมอิ่มปริ่มน้ำค้าง
มวลเมฆขาวอาบอวลเนื้อนวลปราง
พรายสะพร่างเก็จพราวราวกลางวัน
ทุกวันคืนพ้นผ่านบันดาลพบ
ดั่งประสบวิมานผ่านความฝัน
ดวงดอกไม้ผลิรอล้อตะวัน
หลากสีสันผ่านฟ้าทะเลดาว
ผ่านเส้นสายพริ้มพรายในวันรุ่ง
แสงสีรุ้งทอทาบอาบเมฆขาว
เหมือนมอบร้อยใยรักพักสักคราว
หลายเรื่องราวเหนื่อยนักแวะพักล้า
ให้ธรรมชาติรักษาคราทนทุกข์
มาปลอบปลุกกล่อมขวัญสู้วันหน้า
แล้วสู้ต่ออย่าท้อต่อชะตา
ธรรมชาติรักษาใจหายสักวัน
สวัสดียามเช้าครับ