ในปีการศึกษา 2551 ที่ผ่านมา ในการคัดเลือกนักเรียนเข้า ม. 1 พบว่า 1) โรงเรียนยอดนิยม/โรงเรียนมีชื่อเสียงซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีความพร้อมทั้งด้านครู(วุฒิครูและจำนวนครู)และด้านวัสดุ อุปกรณ์(ถ้าเป็นโรงพยาบาลก็จะจัดเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ หรือโรงพยาบาลศูนย์ ที่เน้นการรับผู้ป่วยหนัก หรือผู้ป่วยที่รักษายาก) ได้ใช้วิธีการสอบคัดเลือกแบบ 100 % เพื่อคัดเฉพาะเด็กเก่งเข้าไปเรียน 2) สภาพการคัดเลือกของโรงเรียนมีชื่อเสียงดังกล่าวข้างต้น จะทำให้เด็กที่เรียนอ่อนต้องแห่ไปรวมตัวกันในโรงเรียนเกรด 2 ซึ่งไม่มีความพร้อม หรือมีความพร้อมน้อยกว่า เป็นการสร้างภาระในการสอนที่หนักอึ้งให้แก่โรงเรียนเหล่านั้น(เด็กพื้นฐานอ่อน และโรงเรียนก็ไม่พร้อม) 3) สภาพตามข้อ 1 และ 2) ในอนาคต จะทำให้โรงเรียนมีคุณภาพห่างชั้นกันมากขึ้น โรงเรียนมีชื่อเสียงจะสามารถเร่งรัดคุณภาพได้ง่าย ในขณะที่โรงเรียนที่รับนักเรียนอ่อนจะย่ำแย่ลงอันเนื่องมาจากภาระในการสอนเด็กพื้นฐานอ่อน ในเรื่องการรับนักเรียนเข้าเรียนชั้น ม. 1 ปี 2552 ที่จะถึงนี้ เมื่อวันที่ 30-31 ตุลาคม 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ท่าน ศรีเมือง)ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ไม่อยากให้โรงเรียนสอบคัดเลือกแบบ 100 % อย่างปีที่ผ่านมา” (สอบคัดเลือกจากนักเรียนในเขต 50 % และนักเรียนทั่วไป 50%) ผมเห็นด้วย และดีใจกับความคิดของท่านรัฐมนตรี เป็นอย่างยิ่ง อยากจะเรียนว่า ในปีที่ผ่านมา มีนักเรียนที่มีบ้านอยู่ในซอย หรือบ้านอยู่หน้าโรงเรียนมีชื่อเสียง จำนวนหนึ่งสอบเข้าไม่ได้ ต้องเดินทางออกจากซอยในตอนเช้าเพื่อไปเรียนที่อื่น ในทางกลับกัน มีนักเรียนเก่ง ๆ จากจังหวัดใกล้เคียง เช่น ราชบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม นครปฐม สอบคัดเลือกเข้าเรียนในโรงเรียนดัง ๆ ในกรุงเทพฯ ได้ นักเรียนเหล่านี้จะต้องตื่นแต่เช้า ตี 4 เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปโรงเรียนดัง ๆ ใน กทม.(เช่าเหมารถตู้เป็นรายเดือน เพื่อไปโรงเรียน) การเกิดภาพเช่นนี้ ในทัศนะของผู้เขียนแล้ว เห็นว่า การเลือกเฉพาะเด็กเก่งของโรงเรียนขนาดใหญ่เหล่านี้ ได้สร้างปัญหาทางสังคมตามมา เช่น นักเรียนที่ผู้ปกครองยากจน แม้จะอยู่ใกล้โรงเรียนที่มีชื่อเสียง ก็ไม่สามารถเข้าเรียนได้ ต้องเดินทางไปเรียนที่อื่น สร้างภาระให้ครอบครัวที่ยากจนอยู่แล้ว หรือ การที่เด็กนอกเขตพื้นที่ แต่สอบเข้าเรียนได้ ก็ต้องเดินทางไกลมาเรียน สร้างปัญญาจราจร เป็นต้น ถึงเวลาที่ผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ต้องร่วมทบทวน และวางแผนในเรื่องการรับนักเรียนเข้าเรียนชั้น ม. 1 ปีการศึกษา 2552 กันอย่างจริงจัง โรงเรียนต่าง ๆ จะต้องทบทวนแนวคิดในการรับนักเรียน จะต้องรับผิดชอบต่อสังคมหรือชุมชนที่เป็นที่ตั้งของโรงเรียนมากขึ้น โดยการให้โอกาสนักเรียนในละแวกใกล้โรงเรียนได้เข้าเรียน ทั้งนี้ เพราะในชั้นของการขออนุญาตจัดตั้งโรงเรียน เราก็อ้างเหตุผลสำคัญ คือ เพื่อรองรับการขยายตัวหรือการเติบโตของชุมชน(ยกเว้น โรงเรียนที่จัดตั้งขึ้น โดยมีจุดประสงค์เฉพาะ เช่น มหิดลวิทยานุสรณ์ เป็นต้น) ผู้เขียนเห็นว่า โรงเรียนที่มีชื่อเสียงทุกโรงจะต้องกำหนดสัดส่วนที่พอเหมาะในการรับนักเรียน จะต้องให้โอกาสกับเด็กในรัศมี 500-1000 เมตร ที่อยู่ใกล้โรงเรียนได้เข้าเรียน หรืออีกนัยหนึ่ง จะต้องเก็บเงินเพิ่มพิเศษแก่นักเรียนที่สมัครใจข้ามเขตพื้นที่ หรือเขตจังหวัด ในการเลือกมาเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง(เด็กในเขตพื้นที่ เรียนฟรีจริง ๆ เด็กนักเรียนต่างเขตพื้นที่ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เด็กต่างประเทศ เก็บแพงสุด ๆ)
คุณ ธนิตย์ และ คุณเพ็ญศรี
สังคมมีการแข่งสูงขึ้น เด็กในเมืองใหญ่สอบแข่งขันเก่งกว่าเด็กอื่น โอกาสเข้าเรียนต่อก็สูงกว่า
แต่ถ้าเน้นรับนร.ในเขตพื้นที่ โรงเรียนชื่อดังทั้งหลาย คงไม่ยอม เพราะบางรร.จะขาดผลประโยชน์ไปมาก
ทำอย่างไรเมืองไทยจะกระจายความเจริญออกไปให้ทั่วถึง ไม่กระจุกอยู่แต่เมืองใหญ่ ๆ
รัฐบาลต้อง มีนโยบายส่งเสริมให้คนมีความรู้ ความสามารถออกไปอยู่ชนบท มีค่าตอบแทนสูงกว่าในเมืองใหญ่ และรัฐต้องจัดสรรทรัพยากรสนับสนุน ในการจัดการศึกษาให้เขาเพียงพอด้วย
นี่อาจต้องให้ ส่วนท้องถิ่นเข้ามาดูแล และจัดคนในส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพ มีวิสัยทัศน์ช่วยกระตุ้นรัฐให้ดำเนินการ.........
คุณ จิด้า
-เป็นข้อคิดที่ดีมากเลยครับ
-การให้ท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทมากขึ้น น่าจะเป็นทางเลือกที่สำคัญในการแก้ปัญหา หรือพัฒนาในเรื่องนี้
- นอกจากประเด็นในเรื่องโรงเรียนที่มีชื่อเสียงจะไม่ยอมแล้ว ผมเชื่อว่าผู้ปกครองที่มีความพร้อม(มากๆหรือพยายามทำให้พร้อม) ก็คงไม่ยอมแน่ๆเขาก็คงจะคิดว่าในเมื่อลูกเขาตั้งใจเรียนมาตลอดและการสอบเข้าก็ถือว่ายุติธรรมดีแล้ว ที่สำคัญถ้าโรงเรียนใกล้บ้านดีอยู่แล้วก็คงไม่เข้ากรุงเทพฯ กลายเป็นว่าเรียนยังไงก็ได้ถ้าบ้านใกล้โรงเรียนโอกาสได้เข้าแบบไม่ต้องสอบ ผู้ปกครองก็จะไปขอเช่าชื่อเข้าอยู่ในสำเนาทะเบียนบ้าน ของใครที่มีบ้านใกล้ๆโรงเรียนเพื่อให้ลูกมีโอกาสจับสลาก (คล้ายๆทุกวันนี้)
- ผมเห็นด้วยกับคุณจิด้าที่ว่าส่วนท้องถิ่นต้องเข้ามาดูแลการศึกษา(ไม่ใช่ดูแลแค่มองว่าเป็นฐานเสียง) แต่ต้องมองว่าถ้าการศึกษาในท้องถิ่นดี ต่อไปในอนาคตท้องถิ่นของเรานี้ก็(น่าจะ)ดีด้วย ซึ่งแน่นอนมันไม่เห็นผลทันทีแน่นอน ซึ่งนักการเมือง(มักจะ)ทำในสิ่งที่เห็นผลทันทีมากกว่า
- อาจารย์ครับช่วงนี้มีโอกาสอ่านบล๊อคแค่เดือนละ 1-2 บทความเองครับ อยากให้อาจารย์เขียนบ่อยนะครับ ดูแลสุขภาพด้วยครับ
- หนูไม่เข้าใจ ทำไมหนูต้องสอบเข้าในเมื่อโรงเรียนทุกโรงเรียนในประเทศนี้เป็นโรงเรียนของหนูทั้งนั้น โอกาศทางการศึกษาไม่ควรมอบให้คนเก่งคนรวย โรงเรียนทุกโรงเรียนควรมอบโอกาศทางการศึกษาให้ทุกคนที่สนใจและต้องการศึกษา คนเก่งคนรวยควรแย่งชิงโอกาศในการเลือกอาชีพและเส้นทางทำมาหากินมากกว่าที่จะมาแย่งชิงห้องเรียนแย่งชิงโรงเรียน จริงหรือเปล่าค่ะ
หนูเห็นว่า 1.ไม่ควรมีระบบสอบเข้าโรงเรียน
2.กำหนดเงื่อนไขสำหรับโรงเรียนดัง เช่น นอกเงื่อนไขจ่ายมีใบเสร็จ
3.จัดมาตรฐานการศึษาให้เท่าเทียม (ทำได้หรือเปล่าไม่รู้)
หนูไม่เข้าใจ
1.ทำไมสร้างถนน สร้างเขื่อน สร้างรถไฟฟ้า สร้างได้ แต่ทำไมสร้างโรงเรียนให้อนาคตของชาติทำไม่ได้
2.กระทรวงศึกษาทำอะไรอยู่ค๊ะ??
คำถาม
1.คนจน เรียนไม่เก่งมักจะมาด้วยกันเนื่องจากสภาวะหลายๆอย่าง แต่อยากเรียนเพื่อยกระดับตัวเอง ในอดีตและปัจจุบันแทบจะเป็นไปไม่ได้เนื่องจากเขาไม่เสียภาษีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ ในอนาคตจะเป็นไปได้หรือเปล่าค่ะ???
ข้อความคุณ จิรเมธ - นอกจากประเด็นในเรื่องโรงเรียนที่มีชื่อเสียงจะไม่ยอมแล้ว ผมเชื่อว่าผู้ปกครองที่มีความพร้อม(มากๆหรือพยายามทำให้พร้อม) ก็คงไม่ยอมแน่ๆเขาก็คงจะคิดว่าในเมื่อลูกเขาตั้งใจเรียนมาตลอดและการสอบเข้าก็ถือว่ายุติธรรมดีแล้ว
หนูขอต่อนิดหน่อยนะค่ะ??
- โรงเรียนที่ใช้ภาษีจ้างครู และ ผู้ปกครองที่มีวุฒิภาวะไม่ควรคิดอย่างนี้ การที่เด็กตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดีอนาคตที่ดีๆรอเขาอยู่แล้ว การที่ลูกสอบเข้าโรงเรียนดีๆได้หรือพยายามซื้อโรงเรียนดีๆให้ลูกยังบอกไม่ด้หรอกว่าอนาคตจะดีได้เป็นแค่ดัชนีบ่งชี้
เรียน คุณจิรเมธ คุณ นิศารัตน์
โรงเรียนดังๆ