เมื่ออาทิตย์ก่อนได้มีโอกาสรับฟังความทุกข์กายของเพื่อนเก่าแก่มากสมัยประถม ในงานศพเธอมา มากับสามีตัวกลมอ้วนมากตอนนี้ ทั้งคู่ีอ้วนขึ้นเท่าตัวจากเมื่อ 2 ปีก่อนที่ได้พบ เธอเล่าว่าช่วง 2ปีนี้มีปัญหาเรื่องเงินมากขึ้นสามีต้องทำงานเพิ่มกลับดึกทุกคนจึงทานมื้อค่ำแล้วนอนเพราะเหนื่อยจากงาน ลูกสาวคนเดียวกำลังจะจบ ปวช.เธอกังวลเรื่องจะให้เรียนต่อหรือทำงานก่อนดีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นทุกวัน จนเธอเครียดต้องออกหารายได้พิเศษช่วย มื้อดึกจึงเป็นมื้อครอบครัวทานมากและนอนทำให้ทุกคนอ้วนแบบที่เห็น ส่วนสามีบอกว่าเครียดกับปัญหาลูกน้องทั้งวัน นานแล้วไม่เคยได้ยิ้มหรือคุยเล่นกันในที่ทำงาน เมื่อก่อนแย่กว่านี้อีกต้องชิมคุมคุณภาพอาหารที่ส่งขายทั้งวัน ตอนนี้อยากผอมมากพยายามอดอาหารและเพิ่มออกกำลังกายตอนเย็นก่อนกลับบ้านกินข้าว แต่ก็ยังไม่เป็นผลช่วยบอกวิธีลดหน่อย ทั้งคู่เล่าถึงวิธีทานอาหารในอดีตและปัจจุบันของตัวเอง ดิฉันสรุปได้ว่า ทั้ง 2 คนจะรอกินข้าวพร้อมกันมื้อดึกทำให้หิวมากจึงทานมาก สามีลดอาหารลงแต่ทานครบ 3มื้อและเริ่มออกกำลังกายตอนเย็นที่ทำงาน ส่วนภรรยาทานวันละ 2 มื้อ มื้อเย็นบางวันไม่กินข้าว กินแต่ผลไม้
ดิฉันเล่าให้ทั้งคู่ฟังว่าเวลาที่เครียดมากเกินมักจะพบพฤติกรรมการกิน 2 อย่างคือ ไม่กินเลยกับกินมากไม่ตรงเวลา ในผู้เป็นเบาหวานของเราก็เคยพบเหตุการณแบบนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจระดับผู้บริหาร พวกเขาถามว่า "ทำไมผมกินน้อยแล้วยังอ้วน น้ำตาลก็ยังไม่ดีอีกต่างหาก" ซึ่งความเครียดทำให้พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป การมีความเครียดน้อยๆให้ผลดีจะเป็นตัวกระตุ้นนะค่ะแต่ถ้าเครียดมากและนานจะเป็นโทษต่อสุขภาพ เพราะทำให้ระดับ BS ในเลือดสูง ชักจูงให้มี Insulin ปล่อยจากตับอ่อนมากขึ้นหลายเท่ากว่าภาวะปกติ เจ้า Insulin ที่เพิ่มมากกว่าปกตินี้จะบีบให้ร่างกายเราปล่อยไขมันที่เก็บสะสมออกมาทิ้งในเลือดและยังยับยั้งไม่ให้มีการเอาไขมันส่วนเกินจากเลือดไปเก็บสะสม เราจึงมีม๊อบยักษ์ไขมันในเลือดเกิดขึ้น ทำให้เกิดปัญหา 2 อย่างตามมาคือ
1 .ปัญหาภายใน ซึ่งจะเกิดอนาคตที่เห็นได้บ่อยคือ โรคของหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจ และ โรคความดันโลหิตสูงเพราะเลือดข้นขึ้น
2 .ปัญหาภายนอก เกิดโรคอ้วนเพราะไขมันเหล่านี้มีความสามารถพิเศษในการจับตัวกันบริเวณหน้าท้องได้ง่ายกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกายทำให้อ้วนที่พุงแม้เมื่อหายเครียดแล้ว ใช่ว่าเจ้าไขมันที่รวมตัวกันที่พุงจะหายไปก็หาไม่ มันจะยังคงอยู่นะคะ ทำให้เสียบุคลิกภาพอีกด้วยเหมือนที่เพื่อนดิฉันกำลังประสบอยู่
เขาถามว่าแล้วจะทำอย่างไรดี ดิฉันก็บอกว่าให้แก้ไขสิ่งที่คิดว่าทำได้ง่ายก่อน เช่น ปริมาณอาหารและทานตรงเวลา ครั้งละ 1 จาน ได้แนะนำการแบ่งสัดส่วนในจานออกเป็น 4 ส่วนคือ
ส่วนที่ 1 เป็นข้าว ถ้าเป็นข้าวซ้อมมือยิ่งดี ไม่ควรอดข้าว ให้ทานอย่างน้อยสุด 1 ทัพพี/มื้อ
ส่วนที่ 2 เป็นเนื้อสัตว์ไม่ติดหนัง ติดมัน ระวังของทอด 1/2 ของจาน
ส่วนที่ 3 และ 4 เป็นผักก้าน ผักใบ ควรทานเพิ่มให้ได้ปริมาณ1/2 ของจาน
ไม่ควรทานแล้วนอนตอน 4 ทุ่ม ให้กระจายอาหารไปตอน 18.00-19.00 น. อาจแบ่งทานได้ครึ่งจาน ค่อยกลับมาทานต่อร่วมกันอีกครึ่งจาน หรือแยกทานแล้วกลับมาทานผลไม้สุก 6-8 ชิ้น/ส้มคนละ 1ผล ตอนดูทีวีก่อนนอน และถ้ามีเวลาวันหยุดค่อยชวนกันไปออกกำลังกายเพิ่มอย่างสม่ำเสมอก็จะดี
ยุวดี มหาชัยราชัน
ไม่มีความเห็น