ตอนเด็กๆ มักได้ยินคุณแม่ชอบเปรยกับเพื่อนบ้านของท่านว่า เด็กๆ พวกนี้เติบโตไปจะยิ่งลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นฟังแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจ และไม่ชอบใจ
ปัจจุบันเข้าใจแล้ว และคิดว่า คัดลอกคำพูดนั้นมาใช้ได้เช่นกัน นั่นหมายถึงว่า มนุษย์เราต้องเผชิญกับความยากลำบาก น่าแปลก สิ่งอำนวยความสะดวกเกิดขึ้นมากมาย แค่เพียงกระดิกปลายนิ้ว เราสามารถสั่งให้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ทำงานให้เราได้ ชีวิตเราสะดวกสบายมากขึ้น แต่กลับต้องอยู่บนความเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อสิบปีก่อนที่ประเทศไทยเกิดภาวะฟองสบู่แตก บริษัทของเราตกที่นั่งลำบาก หัวหน้าส่วนของเราบอกว่า เราแปรสภาพจากลูกเศรษฐี กลายเป็นยาจกเพียงชั่วข้ามคืน เราจะทำตัวเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว ตอนนั้น แค่รู้สึกว่าต้องประหยัด และรายได้จากโบนัสคงหายไปบ้าง อย่างอื่นไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แค่เสียดายพี่ๆ บางคนที่สมัครใจเกษียณก่อนกำหนดไปหลายคน เฉพาะในหน่วยงานก็เกือบ 10 คน
แต่มาตอนนี้ ปีนี้ที่เขาบอกว่าเผาหลอก ปีหน้าเผาจริง ผู้บริหารระดับสูงบอกว่า ไม่ใช่แค่ประเทศชาติ หรือ บริษัทที่ยากลำบาก แม้แต่เงินลงทุนของเราในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่อดออมหวังเก็บไว้ใช้หลังเกษียณอายุของแต่ละคน หรือแม้แต่ LTF ก็หดหายไปมาก นั่นหมายถึงความมั่งมีของแต่ละคนลดลงไปด้วย
ทำให้มานั่งนึกย้อนว่าตอนเราเป็นเด็กเงินเดือนน้อยๆ เราไม่มีเงินเก็บออมมาก ตอนนั้นจึงไม่รู้สึกว่าเงินออมของเราหายไปไหน แต่พอมีสินทรัพย์มากขึ้น กลับยิ่งได้รับผลกระทบมากขึ้น เสียดายเงินที่อุตส่าห์อดออมมาหลายปี เมื่อมานั่งคิดทบทวนจึงรู้สึกว่าแปลกดีเหมือนกัน
ต้องขอขอบคุณบริษัทที่เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ด้าน soft side การดูแลจิตใจตนเอง จากการเข้าเรียน และฝึกเป็นกระบวนกรของวง dialogue ทำให้เรากล้าเผชิญกับเรื่องเลวร้าย มีภูมิคุ้มกัน และหาวิธีที่จะคิดในแง่บวกมากขึ้น ประสบการณ์ครั้งนี้คือการเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างสมดุล และต้องหมั่นดูแลตัวตนทั้งฐานกาย ฐานใจ เพื่อหล่อเลี้ยงฐานคิด ให้มีปัญญาหาแสงสว่างให้กับตัวเองได้ตลอดเวลา
ขณะนี้พยายามที่จะช่วยเหลือเพื่อนฝูง หรือแม้แต่เพื่อนพนักงาน ทำอย่างไรให้เขามีภูมิคุ้มกันเหมือนอย่างที่เราได้รับ ปีหน้าการพัฒนาพนักงาน คงต้องดูแลด้านจิตใจกันเป็นพิเศษ
สวัสดีค่ะน้องจ๋า
แต่แล้ว เราก็ยังไปยึดติดกับสิ่งที่ไม่จีรัง กันนะคะ
รักษาสุขภาพด้วยค่ะ
เออ แปลกที่เมื่อมีเงินเก็บ กลับมานั่งเสียดายที่ค่าเงินตกต่ำ เมื่อก่อนไม่มีเงินเก็บ ไม่ต้องทุกข์ น่าคิด ค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณครู วรางค์ภรณ์ เนื่องจากอวน
ความเห็นของ อ.เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ คุณพ่อ คุณแม่ในยุคนี้เป็นอย่างมากค่ะ
ชอบประโยคนี้ค่ะ
"พอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มีเงินแต่ไม่มีแรง" ทำให้ตัวเองนั่งใคร่ครวญ คิดทบทวนต่อยอดไปอีกค่ะ
ทุกวันนี้พวกเราจึงต้องหันมารักษาสุขภาพเพื่อให้มีแรงทำงานไปได้นานๆ หรือทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และคนรอบข้างให้ได้มากที่สุด
เวลาอธิษฐานจิต ไม่เคยขอความร่ำรวย ความสุขสบาย ขอแต่ให้มีสติ มีปัญญาคิดอ่านสิ่งดีงาม และมีพลังแห่งความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งดี ที่คิดไว้ให้สำเร็จ
เวลาทำบุญ มีพระท่านเคยสอนว่า ขอให้เราลดความตระหนี่ มีโอกาสที่บุญเข้ามาให้เราทำ และตัวเองขอแถมไปว่า ขอให้เรามีกำลังที่จะทำงานมีรายได้ เพื่อมาต่อบุญไปอีกเรื่อยๆ
ขอบคุณ คุณครูมากๆ นะคะ
ขอบพระคุณ พี่ครูอ้อย คุณธนิตย์ และคุณใบบุญ ค่ะ
ที่มาแลกเปลี่ยน ร่วมแบ่งปัน
เราจะต้องไม่ยึดติดกับสิ่งที่ไม่จีรัง
เมื่อสักครู่เพิ่งเดินกลับมาจากตึก สำนักงานใหญ่ พบน้องที่เคยรู้จักมาหลายปี จึงทราบว่าพรุ่งนี้บริษัทจะเชิญ ธนาคารต่างๆ มาเสนอโปรแกรมออมเงินแบบประหยัดภาษี
เขาชวนไปฟัง เลยบอกไปว่า ยังมีเงินจะให้ประหยัดภาษีได้อีกหรือ เจอแค่สามนาที พูดปรัชญาการดำเนินชีวิตไปหลาบเรื่อง เลยถามว่า อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เขาที่อายุไม่มาก เปลี่ยนไปได้ เขาบอกว่า ความเจ็บป่วยที่ได้รับแบบเรื้อรังในปีที่ผ่านมา เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยมาก ทำให้เขาได้คิดมากขึ้น อนุโมทนาไปกับเขาด้วยค่ะ
เมื่อเช้าที่บริษัทเชิญ อ.ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ ผู้แต่งหนังสือ เดินสู่อิสรภาพ อ.สอนเราด้วยประสบการณ์ของ อ.ที่ไม่เหมือนใคร โอกาสหน้าจะนำมาเขียนบันทึกค่ะ
ความจริงเราลำบากตั้งแต่เกิดมา การฝึกสติอาจจะช่วยให้เราเข้มแข็งและมีปัญญาขึ้นค่ะ ขอบคุณที่มีข้อมูลดีๆมาให้อ่านค่ะ
สวัสดี คุณหมอ อัจฉรา ค่ะ
พวกเราโชคดีที่เกิดในเมืองพุทธศานา ทำให้เรามีหลักยึดหรือปรัชญาในการดำเนินชีวิต ที่ไม่มีวันล้าสมัย
คำว่า "สติ" ขณะนี้ไม่ว่าไปเรียนเรื่องอะไร หรือประชุมที่ไหน มักจะต้องได้ยินคำนี้อยู่เสมอ
มีพี่ท่านหนึ่งไปเรียนหลักสูตร ด้านพัฒนา Leadership หรือ ภาวะผู้นำ กับ อ.ฝรั่ง ที่เชิญมาจาก INSEAD เรียนกลับมา พี่เขาบอกว่า สติ คือคำตอบ และแนวทาง หลังจากนั้น พี่เขาก็เริ่มหันมาสนใจหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น ทั้งที่นับถือคริสต์