โค้ชส้ม Citrus
Miss. ปรีดิ์ฤทัย โค้ชส้ม ตั้งจิตญาณพัฒน์

หนูน้อย William ทำให้นึกถึงเพลง I'm nobody's child


โหดร้ายเกินไปหรือเปล่า สำหรับคนพิการที่กำพร้า วอนหาความรัก ความเมตตา และคนอุปถัมภ์

เรื่องราวของเด็กชายกำพร้า ตาบอด ช่างน่าสงสารจริง ตรงกับในเนื้อเพลงนี้เลย เด็กกำพร้าบางคนมีโอกาสไปเป็นลูกบุญธรรมของคนที่มาขอเด็กไปอุปการะ แต่เด็กที่ตาบอด ไม่มีใครสนใจอยากนำไปเลี้ยงดู

As I was slowly passing
an orphan's home one day,
I stopped for just a little while
to watch the children play.
Alone a boy was standing
and when I asked him why,
he turned with eyes that could not see
and he began to cry.

I'm nobody's child,
I'm nobody's child.
Just like the flowers
I'm growing wild.
I got no mummy's kisses
I got no daddy's smile.
Nobody wants me,
I'm nobody's child.

No mummy's arms to hold me
or sue me when I cry,
'cos sometimes I feel so lonesome
I wish that I could die.
I'll walk the streets of heaven
where all blinds can see.

And just like for the other kids
it will be a home for me.

I'm nobody's child,
I'm nobody's child.
Just like the flowers
I'm growing wild.
I got no mummy's kisses
I got no daddy's smile.
Nobody wants me,
I'm nobody's child.

ฟังทำนองได้จาก ที่นี่ ค่ะ http://www.karaokedd.com/song2007/8178.html

หลายท่านที่อายุ อานาม พอๆ กับ Citrus คงเคยได้ยินเพลงนี้นะคะ ช่างเป็นความบังเอิญที่ตัวเองรู้สึกผูกพันกับคนพิการทางสายตาตั้งแต่เด็ก เมื่อเริ่มรู้จักเพลงนี้ รู้สึกเศร้าใจ แต่ก็ชอบเพลงนี้มากโดยไม่ทราบสาเหตุ ตอนเรียนวิชาแปลภาษาอังกฤษ เคยหยิบเนื้อเพลงนี้ไปแปล ซึ่งอาจารย์ผู้สอนบอกว่า มันเศร้าจริงๆ

เมื่อวันที่ 17-18 ตุลาคมที่ผ่านมา มีโอกาสไปร่วมกิจกรรม HR Day ซึ่งเครือ SCG จัดปีละครั้ง ปีนี้มีกิจกรรม CSR 3 แบบ โดยแบ่งกลุ่มกันไปทำ บางกลุ่มไปบ้านพักคนชรา อีกกลุ่มใหญ่ไปเก็บขยะชายหาด ส่วนกลุ่มที่ citrus ไป เป็นโรงเรียนสอนเด็กสายตาพิการ หรือโรงเรียนคนตาบอดนั่นเอง

ช่วงนี้โรงเรียนปิดเทอม เหลือเด็กไม่มาก เกือบ 20 คน ที่อยู่เพราะเป็นเด็กที่พ่อแม่ทิ้ง โรงเรียนจึงรับเลี้ยงดู โรงเรียนนี้อยู่ที่พัทยา เดินไปอีก 1-2 กม.จึงถึงชายทะเล

พวกเราไปเล่นเกมกับน้อง มีคนมาช่วยนำเกม ให้พวกเราพนักงานเล่นกับน้อง โดยให้พี่เลือกน้อง ช่วงให้เลือก เราเห็นเด็กโตๆ ถูกเลือกไปหมด เหลือหนูน้อย เด็กชายวัย 5 -6 ขวบใส่เสื้อสีแดงสดใส ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ใกล้ตัวเราที่สุด เราก็เลยวางมือบนไหล่ทั้งสองข้าง น้องคนนี้หน้าตาหล่อเหลา เป็นลูกครึ่งฝรั่ง ตอนแรกไม่รู้ชื่ออะไร ช่วยกันถามชื่อ เขาก็พูดเสียงเบามากจนไม่ได้ยิน

ช่วงเล่นเกมพยายามชวนเล่น ชวนเชียร์ ก็ไม่มีปฏิกิริยาสนุกสนานแต่อย่างใด เอาแต่นั่งก้มหน้าซุกกับเข่าสองข้างที่ชันขึ้นมา เล่นผ่านไป 3 เกมแบบส่งตัวแทนออกไปให้ครบทั้งกลุ่ม พวกเราอยู่สีแดง ตอนออกไปรับรางวัลให้น้อง William ออกไปรับ ค่อยดูตื่นเต้นขึ้นมาตอนได้กล่องขนม และน้ำผลไม้มาแบ่งกับเพื่อนๆ ในกลุ่มเดียวกัน

หลังจากนั้นเป็นการพาน้องๆ ไปเล่นน้ำชายหาด ไม่เคยคิดเหมือนกัน หนูน้อยจะเปลี่ยนไปทันทีที่ก้าวออกจากประตูโรงเรียน ดูกระตือรือร้น ร่าเริง พูดคุยหัวเราะเสียงดัง บอกว่ามีความสุขมาก และคอยบอกประเภทของรถยนต์ที่วิ่งผ่านไปมา ว่าเป็นรถประเภทไหน บอกถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ว่าถูกซะเป็นส่วนใหญ่

พอไปถึงชายหาด หนูน้อยไม่ได้มีความหวาดกลัวอะไรเลย วิ่งลงทะเล หลายคนที่ยืนอยู่บอกว่าต้องไปจับ สภาพตัวเองตอนนั้นไม่ได้พร้อมที่จะเปียก เพราะใส่กางเกงยืนขายาว แถมยังสะพายกระเป๋า รีบตัดสินใจถกขากางเกง และฝากของไว้กับน้องที่บริษัท แล้วก็ต้องลงไปช่วยจับไม่ให้เขาลงไปลึก หลายครั้งหวาดเสียวแทน กลัวเขาจะจมน้ำลึก ต้องรีบดึงกลับมา เขาก็ทั้งโดด ทั้งเตะน้ำทะเลด้วยความคึกคะนอง จนเราเปียกไปครึ่งตัว นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ที่ไม่ได้ทำแบบนี้ ทำให้อดนึกถึงตัวเองในตอนเด็กที่ไม่เคยกลัวเปียก  แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่ความกลัว และความเรื่องมาก ทำให้ขาดโอกาสสนุกสนานแบบเด็กน้อย

ไหนๆ ก็เปียกแล้ว เลยเล่นกับเขาอย่างสนุกสนาน มันทำให้เราเป็นสุขที่ได้ทำให้เขามีความสุข แม้จะช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ชั่วโมง แต่เราก็เล่นกับเขาอย่างเต็มที่ เหมือนกับได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากความเป็นผู้ใหญ่ใกล้ชราในปัจจุบัน ไปเป็นเด็กวัยเดียวกับเขา  เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากในชีวิตปัจจุบัน และรู้สึกว่าได้พบกับหนูน้อยที่ตรงกับในเนื้อเพลง จะหาคนอุปการะเอาไปเป็นบุตรบุญธรรม นั้น คงยากยิ่งกว่าเด็กปกติธรรมดาหลายเท่า โรงเรียนจึงต้องอาศัยผู้ใจบุญมาช่วย

ยินดีกับโรงเรียนนี้ที่มี ป้าครูเป็นคุณครูใหญ่ที่แม้ท่านจะสายตาพิการ ก็ยังช่วยสร้างสรรค์ทำสิ่งดีงามให้กับคนที่เกิดมารุ่นหลังและมีหัวอกอันเดียวกัน ท่านกำลังมีโครงการเปิดสอนฝึกอาชีพให้นักเรียนโตด้วย ตอนนี้ยังขาดแคลนทุนทรัพย์สำหรับค่าอุปกรณ์การสอน เรากับพี่ และน้องอีกคนช่วยกันบริจาคเงินให้โรงเรียนตามกำลัง คิดว่าต้องหาโอกาสกลับไปเจอหนูน้อย William -nobody's child ตัวจริง เสียงจริง

ขอขอบคุณที่ทำให้เรามีความสุขที่มีโอกาสได้ให้ ได้ดูแลจิตวิญญาณ ไม่ใช่เพียงร่างกาย และทำให้เราเรียนรู้ว่า คนที่ตาบอดยังสู้ชีวิต และเรียนรู้ที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง พึ่งพาตัวเอง

หมายเลขบันทึก: 219133เขียนเมื่อ 27 ตุลาคม 2008 18:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม 2012 20:03 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)
  • มาบอกว่า  คิดถึงค่ะ
  • มาบอกว่า ชอบเพลงนี้เหมือนกันค่ะ

สวัสดีค่ะ พี่ครูอ้อย

ดีใจจัง คิดถึงพี่เช่นกันค่ะ แสดงว่าเราคงวัยใกล้เคียงกันใช่ไหมคะ เลยชอบอะไรคล้ายๆ กันค่ะ

เดี๋ยวว่างๆ ครูอ้อยจะหาเพลงนี้มาใส่ในบล็อก นะคะ  ฟังแล้ว จะร้องไห้ เพราะความหมายดีมากเลยค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ใช่ค่ะ พี่ครูอ้อย แค่อ่านก็น้ำตาซึม ยิ่งฟังนี่ เกือบไหลเลย

เคยได้ยินคนตาบอดเขาร้องเพลงขอบคุณ คนที่มาเลี้ยง มาเล่นกับเขา อันนั้นร้องจริงเลยค่ะ ตอนเด็กๆ แม่เคยพาไปด้วย เวลาไปเลี้ยงอาหาร จำได้ตอนนั้นเราเด็กมากๆ ประมาณประถม 1 ไปที่โรงเรียนสอนคนตาบอดพญาไท ส่วนใหญ่เขาเป็นพี่เราทั้งนั้น แล้วเขาก็มีน้ำใจ แบ่งช็อคโกแลตให้ แล้วยังเล่นเปียโนให้ฟังด้วย ทำให้ประทับใจไม่ลืม

ทุกวันนี้ ถ้าเห็นคนสายตาพิการมาร้องเพลง ก็จะทำบุญให้ทุกครั้งเลยค่ะ

  • ที่ตลาดใกล้ๆบ้านครูอ้อย  จะมีคนตาบอด สองสามีภรรยา  เล่นดนตรี และร้องเพลง  ไพเราะมาก 
  • ครูอ้อยให้เงินเขา และชมเขาว่า..ร้องเพลงได้ไพเราะมาก..
  • ที่ประทับใจครูอ้อยมากก็คือ  ร้องเพลงภาษาอังกฤษได้ด้วย  ครูอ้อยอายเลยค่ะ

สวัสดีค่ะ พี่ครูอ้อย

เมื่อวานลืมบอกผ่านบันทึกไปว่า หากใครมีโอกาสไปเที่ยวพัทยา ลองแวะไปดู โรงเรียนกำลังต้องการความช่วยเหลือ เรื่องอุปกรณ์สำหรับฝึกอาชีพ

สอนให้เขาหาปลาเองได้ในอนาคต พึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระแก่สังคม ได้บุญหลายชั้นค่ะ

krutoi รู้จักเพลงนี้เมื่อเป็นวัยรุ่น เพลงที่สะท้อนความรู้สึกได้ดี เอามาลงอีกนะคะ ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณ krutoi

citrus จำไม่ได้เหมือนกันค่ะ ว่าเริ่มรู้จักเพลงนี้ตั้งแต่เมื่อไร

ถ้ามีเพลงดีๆ จะนำมาเขียนบันทึกอีกค่ะ ขอบคุณมากนะคะ

ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันค่ะ เรื่องเขียนบันทึกเกี่ยวกับเพลง หรือเพลงจริงๆ แล้วช่วยสร้างแรงบันดาลใจ หรือเตือนสติเราได้ดีทีเดียวค่ะ

จำได้ว่า ตอนได้ยินเพลง Live & learn ฟังแล้วชอบว่าเสียงคนร้อง ร้องได้พลังดี แต่ไม่ได้อิน กับเนื้อเพลงเลย แต่พอมี อ.คนไร้กรอบ มาเปิดให้ฟังตอนเรียน Learn how to learn เรียนรู้แง่คิดจากเพลง จึงได้เริ่มหวนคิด หลังจากนั้น เมื่อเวลาเครียด หรือช้ำใจ เสียใจ เมื่อได้ร้องหรือฟังเพลงนี้ จะช่วยเยียวยาตัวเองได้มากเลยค่ะ

พิสูจน์หลายครั้งแล้ว ต้องลองเองค่ะ

สวัดดีค่ะ

พวกหนูฟังพลงนี้แล้วรู้สึกสะเทือนใจ

แล้วตอนนี้พวกหนูเรียนพัฒนาสังคม ม.นเรวศวร พิษณุโลกค่ะ

และพวหนูจะนำเพลงนี้ไปร้องกันในค่ายเอกด้วยค่ะ

เพื่อจะได้ให้น้องๆรุ้นต่อไปมีจิตรที่จะช่วยเหลือผู้อื่น

สวัดดีค่ะ

หนูอยากทราบว่าเพลงนี้ชื่อเพลงอะไรค่ะ

และอยากได้เนื้อเพลงเป็นภาษาไทยค่ะ

พวกหนูขอขอบคุณค่ะ

เพลงนี้ ฟังเมื่อสมัยอายุ 16 ปี สมัย ดาราหนังฮ่องกง ชื่อ เดวิด เจียง กำลังดังมาก

acnes chan ก็ได้แสดงหนังกับ เดวิด เจียง ด้วย

เชื่อไหมว่า ชอบเพลง nobody's child ที่ทำนอง เพราะตอนนั้นไม่รุ้ความหมายเลยแม้แต่คำเดียว

เพิ่งมารุ้ความหมายวันนี้ เอง ทำให้มีความซาบซึ้งมากเป็นรอ้ยเท่าทวีคูณ

อ่านจาก web บางเวป บอกว่า ตอนนี้ acnes chan อายุ ปาเข้าไป 55 ปีแล้ว มีครอบครัวเป็นคนญี่ปุ่น

และ มีลูก ชาย 2 หรือ 3 คนนี่แระ ซึ่งโตเป็นหนุ่มหมดทุกคนแล้ว

ได้อ่านศึกษา ประวัติ คนดังเมื่อก่อน แล้วก็มีความสุขใจไปอีกแบบ เนอ่ะ ท่าน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท