ที่มาแห่งพระไตรปิฎก
เราทราบที่มาของพระไตรปิฎกจากข้อความในพระไตรปิฎกนั้นเอง
คือมีในมหาปรินิพพานสูตร กล่าวคือ
..........
เมื่อวันที่โทณพราหมณ์แจกพระบรมสารีริกธาตุนั้นมีภิกษุไปประชุมกันเป็นครั้งใหญ่
โดยมีพระมหากัสสปะเป็นพระมหาเถระในที่นั้น
พระเถระผู้นี้ได้อ้างข้อที่มีผู้ติเตียนพระธรรมวินัย
และจึงได้แนะให้มีการทดสอบพระธรรมขึ้น เรียกว่า
ธรรมสังคายนา
ครั้งนี้จึงเป็นการสังคายนาธรรมครั้งแรก
ความสำคัญของการทดสอบธรรมจะเห็นได้จากพุทธวจนะแก่พระอานนท์ในวันปรินิพพานว่า
“เมื่อเรา,
ผู้เป็นพระตถาคต, ได้ปรินิพพานล่วงลับไปแล้ว
ธรรมและวินัยเป็นศาสดาแห่งท่านทั้งหลาย”
การสังคายนานี้
กระทำโดยการเล่าถึงพระจริยานุวัตรแห่งพระบรมศาสดา
ซึ่งในวาระนั้นเองได้เกิดการสอนพระธรรมและพระวินัยไว้ด้วย
การสอนพระธรรมและการกำหนดพระวินัยนี้เกิดจากสาเหตุหลายประการ
เช่นพระองค์ทรงสอนคำสอนโดยตรงบ้าง
มีผู้สงสัยมาทูลถามบ้าง
ทำการโต้แย้งกับผู้อื่นบ้าง
ส่วนพระวินัยนั้นเราทราบจากพระไตรปิฎกว่า
เกิดจากการมีการกระทำผิดพรหมจรรย์ขึ้นก่อน
แล้วพระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติพระวินัยห้ามไว้
จากการอ่านพระสูตรต่าง ๆ
เราจึงทราบวิธีให้การศึกษาของคนโบราณว่า
เขาหาได้สอนระบบความคิดใดโดยตรงไม่
หากได้นำเอาเรื่องทั้งเรื่องที่มีอาจารย์สอนศิษย์มาว่าไว้
คำสอนจึงปรากฏเป็นคำสนทนาโต้ตอบกันระหว่างอาจารย์กับศิษย์
ในการนี้บางทีไม่ใช่เป็นการถามแล้วตอบเฉย ๆ
หากมีการโต้แย้งความเข้าใจผิดๆ ของศิษย์ด้วย
หรือบางทีคำสอนเป็นการโต้แย้งระหว่างอาจารย์ผู้รู้ด้วยกัน
คำสอนเช่นนี้ปรากฏขึ้น ทั้งในอินเดียและกรีก
คำสอนของพลาโต้เกี่ยวกับปัญญาของซอเครตีส (Socrates)
นักปรัชญาคนแรกที่มีชื่อก็เป็นดังนี้เหมือนกัน
ทำให้เห็นว่าน่าจะเป็นวิธีทั่วไปของมนุษยชาติก่อนและหลังพุทธกาลการโต้แย้งนี้มีชื่อทางอังกฤษว่า
Dialectics ทางไทยจะเรียกว่า
วิภาษวิธีก็คงจะเหมาะ
มิลินทปัญหาก็เป็นวิภาษวิธีอย่างหนึ่งระหว่างพระเจ้ามิลินท์,
หรือเมนานเดอร์ ชาวมักเตรียนกรีก
กับพระนาคเสนภิกษุในพุทธศาสนา
คำว่าสูตรแปลว่า “เส้น
,สาย, เชือก”
หมายถึงเรื่องหนึ่ง ๆ จบในตัวเอง
ในพระสูตรทางพุทธศาสนาจะปรากฏจริยานุวัตรของพระพุทธเจ้าหรือของมหาสาวกแสดงคำสอนธรรม
หรือคำประสาทพระวินัยแก่บรรพชิต หรืออุบาสก,
อุบาสิกา ทั้งหลาย
ได้มีผู้แปลพระสูตรบาลีตรง ๆ มาเป็นภาษาต่าง
ๆ ปรากฏความจริงอีกอย่างหนึ่งว่า
สมัยพุทธกาลนิยมการกล่าวซ้ำ ๆ
ข้อนี้น่าจะเป็นความจำเป็นในสมัยนั้น
ซึ่งยังไม่มีการบันทึก
ต้องใช้จดจำเอาไว้ในใจกัน
การกล่าวซ้ำนี้คงจะช่วยความทรงจำด้วย
และคงจะกระทำเพื่อความแจ้งชัดของถ้อยความด้วย
การสังคายนา, ตามพุทธโอวาทที่ว่า
“สังคีติเป็นกิจชอบ”
เป็นครั้งที่ ๑ นั้น
เริ่มขึ้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงปรินิพพานล่วงไปแล้วได้ ๓
เดือน และมีการใช้เวลาทำสังคายนาอยู่ถึง
๗ เดือน จึงเสร็จ ในครั้งที่ ๑
นี้ต้องนับว่าพระไตรปิฎกก่อเป็นเค้าโครงขึ้นแล้วในส่วนพระธรรมกับพระวินัย
เมื่อพุทธกาลล่วงไปแล้วได้ ๑๐๐ ปี
หรือเมื่อ ๔๔๓ B. C.
ภิกขุพวกวัชชีบุตรแห่งนครเวสาลีได้ประพฤติละเมิดพระธรรมวินัย
แล้วมีผู้คนหลงตามกันเป็นอันมาก
พระยสเถระกากัณฑกบุตรจึงนำพระอรหันต์ ๗๐๐
องค์ กระทำสังคายนาธรรมอีก ณ
วาลิการามเมืองเวสาลี
ครั้นถึงรัชสมัยแห่งวงศ์โมรียะ
ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเป็นพระราชา ณ
ปาฏลิบุตรนคร เป็นพุทธศักราช ๒๑๗ หรือ
๓๒๖ B.C.
ได้เกิดเสี้ยนหนามต่อพระธรรมวินัยอีก
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเจ้า,
ผู้พึ่งราโชปถัมภ์ในพระเจ้าอโศกมหาราช
ก็กำจัดพวกเดียรถีย์ออกไปจากพุทธศาสนา
แล้วกระทำสังคายนาพระธรรมอีกแต่จะเป็นใน พ.ศ.
ใดไม่ทราบชัด
ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๓๖ หรือ ๓๐๗
B C
พระมหินทเถรเจ้าราชบุตรหรือพระอนุชาของพระเจ้าอโศกมหาราชได้นำพระธรรมวินัยไปสู่
ทวีป สีหล หรือลังกา (Ceylon)
พุทธบริษัทชาวสีหลได้จดจำพระธรรมวินัยมาเป็นลำดับกระทั่งถึง
พ.ศ. ๔๕๐ หรือ ๙๓ B.C.
ปรากฏการเสื่อมความทรงจำขึ้น
พระเถระเห็นว่าถ้าปล่อยให้จดจำพระธรรมวินัยไปคงจะไม่เป็นการ
พระศาสนาอาจเสื่อมได้
จึงจัดทำสังคายนาพระธรรมวินัย ณ อาโลกเลณสถาน
ในมลัยชนบทเกาะลังกา
แล้วจารึกพระธรรมวินัยไว้บนใบลาน
นี่จัดได้ว่าเป็นสังคายนาครั้งที่ ๔
ตั้งแต่บัดนั้นมา,
เราจึงมีพระไตรปิฎกเป็นตัวอักขระเราไม่ทราบแน่ว่าอินเดียมีตัวอักขระใช้เมื่อไร
แต่ทางยุโรปอักขระใช้เมื่อ ๗๕๐ B.C.
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์
มหาราชแห่งแม็ซซีโดเนีย (Macedonia)
ในเผ่าชนกรีกทรงมาตีอินเดียได้ ในปี ๓๒๕
B.C.
และคงจะได้นำอักขระของเมดิเตอเรเนียนมาให้อินเดียด้วย
อินเดียจึงมีอักขระใช้ต่อมา
และคงจะสร้างอักขระใหม่
ขึ้นเพิ่มเติมให้เขียนเสียงได้ครบด้วย
ส่วนประกอบของพระไตรปิฎก
ขณะนี้ได้มีผู้
“นำเที่ยวในพระไตรปิฎก”
แล้วดังปรากฏใน
“ธรรมจักษุ”
ของมหากุฎราชวิทยาลัยในปี ๒๔๙๕
ดังได้กล่าวแล้วว่า พระไตรปิฎกประกอบด้วยเรื่องต่าง
ๆ
แต่ละเรื่องแสดงไว้ซึ่งที่มาแห่งพระวินัยและคำสอนของพระพุทธองค์
จึงปรากฏว่าไม่ได้มีการเรียงลำดับเรื่องราวนี้ไว้เป็นเรื่องใหญ่
ที่มีการขึ้นต้นและการจบบริบูรณ์ในตัว เช่น
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ได้ทรงปรารภไว้ใน
“พุทธประวัติ”
เล่ม ๑ ว่า
“เรื่องพุทธประวัตินั้นไม่ปรากฏในบาลีซึ่งขึ้นสู่สังคีติจนตลอดเรื่องสักแห่งเดียว
(คือไม่ปรากฏรวมกันเป็นเรื่อง สมบูรณ์-ผู้เขียน )
มีมาในบาลี ประเทศนั้น ๆ
เพียงเป็นท่อน ๆ
เช่นเรื่องประสูติมาในมหาปทานสูตรแห่งทีฆนิกายมหาวรรค
เรื่องครั้งยังทรงพระเยาว์มาในติกนิบาตอังคุตตรนิกาย
เรื่องตั้งแต่ปรารภเหตุที่เสด็จออกบรรพชาจนภิกษุวัคคิยะสำเร็จพระอรหันตผลมายังในปาสราสิสูตรแห่งมัชฌิมนิกาย
มูลปัณณาสก์
เรื่องเสด็จออกบรรพชาแล้วบำเพ็ญทุกกรกริยาจนได้ตรัสรู้
มาในมหาสัจจกสูตรแห่งมัชฌิมนิกาย
มูลปัณณาสก์
เรื่องตั้งแต่ตรัสรู้แล้ว,จนถึงอัครสาวกบรรพชามาในมหาวรรคแห่งพระวินัยทรงบำเพ็ญพุทธกิจนั้น
ๆ มาในพระสูตรต่าง ๆ หลายสถาน
ตอนใกล้จะนิพพานจนถึงนิพพานแล้วมัลลกษัตริย์ในนครสินาราทำการถวายเพลิงพระพุทธสรีระ
แล้วแบ่งพระสรีริกธาตุไว้บ้าง แจกไปในนครอื่นบ้าง
มาในมหาปรินิพพานสูตร
แห่งทีฆนิกายมหาวรรค......”
ดังนั้น
ผู้ใคร่จะศึกษาพระธรรมหรือพุทธประวัติที่เป็นข้อความติดต่อกัน,
เป็นระบบความคิดหรือประวัติบุคคล
จึงต้องเรียงเรื่องเอาใหม่
ดังที่พระมหาสมณเจ้าทรงกระทำแล้วในกรณีพุทธประวัติ
ในการเรียงเรื่องใหม่นี้ ก็ต้องตัดข้อความที่ซ้ำกันดังกล่าวมาแล้วออก
ปราชญ์ทางวรรณคดี ในยุโรปกล่าวว่า
พระไตรปิฎกนั้นแม้จะเป็นวรรณกรรมขนาดใหญ่ก็ตาม
หากย่อได้ให้ความพอดี โดยตัดข้อความที่ซ้ำออกแล้ว
น่าจะมีข้อความยาวพอ ๆ กับคัมภีร์ของคริสต์ศาสนา
ในที่นี้ก็ควรแจ้งให้ทราบด้วยว่าคัมภีร์คริสตศาสนานั้นประกอบด้วยข้อความที่เรียงต่อทอดกันไปและไม่ปรากฏการกล่าวข้อความซ้ำ
ๆ นี่เป็นลักษณะของการบันทึกในศตวรรษที่ ๖
แห่งพุทธกาล
ซึ่งขณะนั้นระดับการศึกษาหรือปัญญาของโลกก้าวหน้าไปมากแล้วและมีอักขระใช้อย่างแพร่หลายแล้วด้วย
*******
บัดนี้
จึงควรกล่าวถึงลักษณะของพระไตรปิฎกเสียก่อน
พระไตรปิฎก
หรือตะกร้าแห่งธรรมสามใบประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ
ดังนี้คือ
ก. พระวินัยปิฎก
ซึ่งกล่าวถึงข้อวินัย,
คำอธิบายและสาเหตุแห่งการบังเกิดวินัย
ในเรื่องนี้มีการเฉลยในมิลินทปัญหาว่า
พระพุทธองค์ไม่ทรงวางพระวินัยไว้ล่วงหน้า
ซึ่งถ้าหากพระองค์ใคร่จะทำแล้ว ก็จะทรงกระทำได้ด้วยพระปรีชาญาณ
แต่ทรงเห็นว่าถ้าวางพระวินัยไว้ล่วงหน้า
ผู้ที่มาบวชใหม่อาจท้อใจไม่กล้าเข้ามาลองอุปสมบทดู
จึงทรงบัญญัติพระวินัยต่อเมื่อได้มีการกระทำผิดพรหมจรรย์ขึ้นแล้ว
เนื้อเรื่องในวินัยปิฎกส่วนหนึ่งจึงกล่าวถึงการที่มีภิกษุประพฤติผิดพรหมจรรย์
และพระพุทธองค์ทรงติเตียนแล้ว
จึงทรงวางพระวินัยห้ามไว้วินัยปิฎกประกอบด้วยพระปาติโมกข์
หรือระเบียบปฏิบัติชีวิตสำหรับสงฆ์ทุกองค์
ศีลของภิกษุรวมด้วยกันทั้งหมด ๒๒๗
ข้อนั้น
พระพุทธองค์มิได้ทรงบัญญัติขึ้นทั้งหมดน่าจะมีการบัญญัติศีลของภิกษุขึ้นในสมัยต่อๆ
มาภายหลังพุทธกาลด้วย
ทั้งนี้เพื่อให้รับกับความเป็นอยู่ใหม่ ๆ
ของมนุษย์ในชั้นหลัง
ข. พระสุตตันตปิฎก
รวมเอาไว้ซึ่งเรื่องราวและคำเทศนาของพระพุทธองค์
เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งทั้งในทางศาสนาและวิทยาศาสตร์
สังคม เพราะเป็นที่รวบรวมไว้ซึ่งความนึกคิดต่าง ๆ
ทั้งของโบราณสมัย และของพระพุทธเจ้า
พุทธศาสนิกถือสุตันตปิฎก
เป็นที่รวมแห่งข้อเท็จจริงในพุทธศาสนาเป็นที่รวบรวมพุทธวจนะ
และบันทึกอันมีความสำคัญชั้นที่หนึ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนา
ในศตวรรษที่ ๓ B.C. หรือพุทธศตวรรษที่
๓ พระสุตตันตปิฎกแยกออกเป็นห้านิกาย หรือหมวด
ซึ่งทางฝ่ายสรวัสติวาทให้ชื่ออีกอย่างหนึ่ง ว่า
“อาคม”
การแบ่งแยกเช่นนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของการทรงจำเท่านั้น
สูตรหนึ่ง ๆ เป็นหน่วยแห่งคำสอนเรื่องหนึ่ง
เป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรองประกอบด้วยบทสนทนาระหว่างพระพุทธองค์กับสาวกหรือคฤหัสถ์
ร้อยเข้าเป็นพวงเดียวกันเหมือนลูกประคำของพราหมณ์
ฉะนั้นจึงเรียกว่า สูตร
ซึ่งแปลว่า
“เชือก”
นิกายทั้งห้ามีดังนี้คือ ทีฆนิกาย
หรือ พระสูตรยาว,มัชฌิมนิกาย
หรือพระสูตรยาวปานกลาง, สังขยุตนิกาย
หรือพระสูตรรวมเป็นชุด, อังคุตรนิกาย,
หรือ พระสูตรที่เรียงตามลำดับจำนวนนับ
และประมวลพระสูตรที่จัดเข้าในนิกายดังกล่าวแล้วไม่ได้
นี่คือ ขุทกนิกาย
ในทีฆนิกายมีอยู่
๓๔ พระสูตร บางสูตรก็มีชื่อเสียงมาก
บางสูตรไม่ใคร่มีคนนำมาอ้างกัน สูตรที่มีชื่อที่สุดคือ
มหาปรินิพพานสูตร
เพราะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์โลก
ดังกล่าวมาแล้ว
มัชฌิมนิกายมี
๑๕๒ พระสูตร ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑๕
วรรค แล้วแต่ประเภทของเรื่อง สังยุตนิกายมีพระสูตรเป็น
๕๖ พวก โดยเกี่ยวข้องกันทางบุคคลหรือเรื่อง
ในนิกายนี้มีคำเทศนาเกี่ยวกับพระธรรมจักร
อันเป็นคำเทศนาครั้งแรก
ภายหลังการหลุดพ้นของพระบรมศาสดาและมีการแสดงให้เห็นสังสารวัฏฏ์เป็นนิทาน
๑๒ เรื่องด้วยกัน
อังคุตรนิกาย หรือประมวล
“บวกหนึ่ง”
ประกอบด้วย ๒,๓๐๘ พระสูตร
แบ่งแยกออกได้เป็น ๑๑ พวก หรือ
นิบาต จากนิบาตที่หนึ่งไปถึงที่
๑๑ ตัวอย่างเช่นนี้ นิบาตที่สองกล่าวถึง
พระพุทธเจ้าสองประเภท
คุณธรรมสองประเภทอันเนื่องมาจากเสนาสนะป่า,
นิบาตที่สามกล่าวถึงภิกขุสามประเภท
นิบาตที่สี่กล่าวถึงทางไปสวรรค์สี่ประการ และเป็นเช่นนี้เรื่อย
ๆ
ไปกระทั่งถึงนิบาตที่สิบเอ็ดว่าด้วยความดีและความชั่วสิบเอ็ดประการของพระภิกษุ
ขุทกนิกาย
หรือนิกายเล็ก
รวมเอาไว้ซึ่งเรื่องต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนา
อันรวมไว้ในนิกายดังกล่าวแล้วไม่ได้
ในนิกายนี้มีผลงานอันมีคุณค่าทางวรรณคดีเป็นอย่างสูงแม้จะรวบรวมไว้ทีหลังก็มีข้อความเก่าแก่ในพระคัมภีร์ไว้ด้วย
ขุทกนิกายเริ่มต้นด้วยขุทกบท
ซึ่งเป็นการวางแนวให้แก่ชีวิตในพระพุทธศาสนา
ในนี้ปรากฏมีเมตตาสูตรว่าด้วยความหมายและประโยชน์ของเมตตา
และมีมหามงคลสูตรอันกล่าวถึงการกระทำอันเป็นมงคลด้วยประการต่าง
ๆ ถัดมาก็มี พระธรรมบท
ซึ่งเป็นคัมภีร์ ทางเถรวาทที่มีชื่อที่สุด
ประกอบด้วยข้อความ ๔๓๒ ชิ้น แบ่งเป็น ๒๖
วรรค หรือบทว่าด้วยแนวทางที่ควรประพฤติ
เป็นการส่งเสริมลัทธิกรรมของพระพุทธศาสนา
พระธรรมบทนี้เป็นที่นิยมอ่านกันมากในโลก
อุทาน
และอิติวุทกะก็เป็นคัมภีร์มีชื่อเหมือนกัน
แต่ละคัมภีร์ประกอบด้วยร้อยกรองผสมร้อยแก้วอันมีคุณค่าทางจริยศาสตร์และปรัชญาสุตตนิบาทก็มีชื่อดังอยู่ในยุโรป,
ฐานมีความสำคัญรองจากพระธรรมบทไป
คือมีทั้งความไพเราะในถ้อยคำและความลึกซึ้งในความคิดด้วย
ถัดมาก็มีเถรคาถาและเถรีคาถา
ซึ่งเป็นคำสวดมนต์ของภิกขุและภิกขุนีตามลำดับ
คำสวดมนต์นี้มีความไพเราะทางสำเนียงและทางร้อยกรองไม่ยิ่งหย่อนกว่าฤคเวทของพราหมณ์
หรือวรรณกรรมของกาลิทาสและชัยเทพเลยมันเป็นคำสวดแสดงความปิติยินดีที่ได้หลุดพ้นจากกิเลสตัณหาและปริเวทนาการทั้งปวง
ในชั้นสุดท้าย
ในขุทกนิกายนี้ก็ปรากฏมีนิทานชาดกต่าง ๆ
อันมีที่รู้จักกันดีทั่วโลก ชาดกต่าง ๆ
นี้มักกล่าวถึงชีวิตในชาติก่อนของพระพุทธเจ้า
แต่หลายเรื่องเป็นนิทานเก่าแก่กว่าพุทธศาสนามาก
เช่น
เรื่องนิทานเกี่ยวกับสัตว์นั้นเข้าใจว่าเก่าแก่ที่สุด
นิทานเกี่ยวกับสัตว์นี้น่าจะแพร่สะพัดไปถึงยุโรปและกลายเป็นเทพนิยายของยุโรปไปขุทกนิกายจึงมีอิทธิพลเหนือวรรณคดีของประเทศต่าง
ๆ เช่นของไทยเราเป็นต้น ตัวอย่างเช่น
ภูริทัตตชาดกให้ความคิดแก่ผู้เขียนพงศาวดารชาวเหนือ
ซึ่งอ้างถึงกำเนิดพระร่วง ว่าเกิดจากนางนาคมาได้กับกษัตริย์ ไทย
เรื่องสังข์ทองก็มีมาในพระชาดก
ทั้งนี้ไม่ต้องอ้างเรื่องไตรภูมิพระร่วง
หรือเวสสันดรชาดก
ซึ่งเห็นได้ชัดอยู่แล้วมาจากพุทธศาสนาโดยตรง
ในชาดกเรื่องสัตว์นี้ยังปรากฏความคิดอย่างหยาบ ๆ
เกี่ยวกับวิวัฒนาการ (Evolution)
ซึ่งพระพุทธองค์ทรงก้าวหน้าทางชาติกำเนิดจากสัตว์ต่ำผ่านสัตว์สูง
ๆ มาเป็นมนุษย์ด้วยการบำเพ็ญบารมี
ชาดกอันประกอบด้วยเทพนิยาย (Myth) และนิทานสัตว์
(Animal
fable)นี้ทำให้เกิดพุทธศิลปะขึ้นอย่างกว้างขวางไม่แพ้ศิลปะของศาสนาใด
ดังจะเห็นเป็นศิลปะสลักในศิลาของถ้ำอชันตาตอนกลางของประเทศอินเดียเป็นต้น
ชาดกต่าง ๆเหล่านี้มีคุณค่าต่อประวัติศาสตร์
และสังคมวิทยาเป็นอันมากเพราะมันเป็นบันทึกเกี่ยวกับนิทานเก่า
ๆ ของมนุษยชาติจากการศึกษาชาดกเหล่านี้
สามารถทราบถึงความนึกคิดก่อนพุทธกาลได้
และยังทราบถึงการปกครองและวัฒนธรรมก่อนพุทธกาลด้วย
จึงขอเขียนเตือนนักศึกษาพุทธศาสตร์ทั้งหลายว่า
ไม่ควรดูถูกชาดกเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องอุปมาอุปไมย
เป็นจิตนาการอันไร้ความจริง
หรืออะไรในทำนองนี้
เพราะมันอาจเป็นนิทานแต่เก่าก่อน
ซึ่งบันทึกจากความเป็นจริง
แถมด้วยทรรศนะของคนโบราณหรือคนสมัยพุทธกาล
ซึ่งหากกรองเอาทรรศนะเหล่านี้ออกเสียงเราก็จะได้ข้อเท็จจริงทางสังคมวิทยา
และประวัติศาสตร์มาใช้บ้าง
ทั้งนี้จะเป็นการกระทำไปตามญาณวิทยาใหม่ดังกล่าวมาแล้ว
ที่ถือว่าจินตนาการสร้างขึ้นด้วยการเอามโนภาพจริงซึ่งเป็นข้อเท็จจริงมาปรุงแต่งกันเข้าเป็นมโนภาพสร้างสวรรค์ใหม่
ในการเขียน การนำชาดกบางเรื่องมากล่าวอ้าง
จะทำให้เราเข้าใจพุทธศาสนาได้ดีขึ้นด้วยซ้ำไป
ค. พระอภิธรรมปิฎก
เป็นข้อความเกี่ยวกับจิตวิทยาอันเราอาจถือได้ว่าเป็นจิตวิทยาของพุทธศาสนา
แต่ก็หาได้เป็นบันทึกทางจิตวิทยาชุดเดียวเท่าที่มีไม่
เพราะนาง Rhys Davids
นักพุทธศาสตร์ชาวอังกฤษถอดจิตวิทยาของพุทธศาสนาตามทรรศนะของเธอจากนิกายต่าง
ๆ ในสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก
เป็นผลงานทางปรัชญาซึ่งอาศัยคำสอนจากพระสูตรอีกทีหนึ่ง
จึงเป็นผลงานของพระอรรถกถาจารย์ในชั้นหลัง ๆ
ได้มีการกล่าวว่าประเทศทางอาเซียอาคเนย์ทั้งสามมีความเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกต่าง
ๆ กัน คือ ลังกาเชี่ยวชาญในสุตตันตปิฎก
ไทยเชี่ยวชาญในพระวินัย
พม่าเชี่ยวชาญในพระอภิธรรม
แต่ในของผู้เขียนอยากให้ทุก ๆ
ประเทศสนใจในสุตตันตปิฎกให้มากที่สุด
************************************************
เรียบเรียงจาก : ปรีชาญาณของสิทธัตถะ
โดย สมัคร บุราวาส
๖.
แนวทางบรรยายของหนังสือเล่มนี้
ผู้เขียนมีความประสงค์อย่างยิ่งที่จะให้ผู้อ่านมีความรู้อย่างทั่วถ้วนในพุทธศาสตร์
ทั้งนี้
ไม่ใช่อย่างจดจำมติโดยสรุปของผู้เขียนไปเท่านั้น
หากได้เห็นงานดั้งเดิมในพระพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่นๆ
ด้วย
เพื่อจะได้ก่อรูปความคิดของตนเองขึ้นได้
เนื่องจากพุทธศาสนางอกงามอยู่ภายในศาสนาพราหมณ์
การศึกษาศาสนาพราหมณ์และวัฒนธรรมพราหมณ์จึงเป็นสิ่งจำเป็น
เมื่อพุทธศาสนาแพร่ไปถึงจีน
ก็กระทบเข้ากับลัทธิเต๋าของเหลาจื่อ
และกลายเป็นลัทธิเซ็นไป
ด้วยประการฉะนี้จะเข้าใจพุทธศาสนาให้ทั่วถ้วนก็ต้องศึกษาลัทธิเต๋าด้วย
พุทธศาสตร์ครอบงำไปถึงลัทธิเซ็นไป
ด้วยประการฉะนี้เข้าใจพุทธศาสนาให้ทั่วถ้วนก็ต้องศึกษาลัทธิเต๋าด้วย
พุทธศาสตร์ครอบงำไปถึงลัทธิมหายานด้วย
ฉะนั้นเราจึงต้องศึกษาปรัชญาของพราหมณ์ที่เรียกว่าอุปนิษัท
เพราะปรัชญานี้ได้มาครอบงำพุทธศาสนา
ทำให้เกิดปรัชญามหายานขึ้น
อนึ่งผู้เขียนมุ่งที่จะให้ผู้อ่านเข้าใจลึกซึ้งในปรัชญาเถรวาท อันเป็นปรัชญาที่แท้ของพุทธศาสนา จึงเสาะเลือกเอาข้อความที่จะอธิบายให้ทราบถึงปรัชญาเถรวาทเป็นอย่างดีมารวมไว้ในหนังสือนี้ - คือข้อความบางตอนใน “มิลินทปัญหา” ผู้เขียนไม่ได้พยายามจะรวบรวมพุทธวจนะที่แท้ไว้ ดังที่อินทปัญโญภิกขุ, ไชยา, ได้จัดทำไว้ในหนังสือ “พุทธประวัติจากพระโอษฐ์” เพราะเห็น ว่าผลงานของพระอรรถกถาจารย์และบันทึกอื่น ๆ ในพระไตรปิฎกส่วนที่ไม่ใช่พุทธวจนะ ก็มีประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันในการสาดแสงสว่างให้แก่ปรัชญาทางพุทธศาสนาและวิชชาพุทธศาสตร์
“ปรีชาญาณของพระสิทธัตถะ”
จึงประกอบด้วยพระสูตรที่เหมาะสมและผลงานอื่น ๆ
ของพุทธศาสนา อันได้รับการจัดวางเสียใหม่
ให้ก่อเค้าโครงวิชาพุทธศาสตร์ขึ้น
อนึ่งเพื่อให้เข้าใจลักษณะสังคมในสมัยพุทธกาลและเพื่อให้เข้าใจพุทธศาสนาได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น
จึงจำเป็นต้องกล่าวเท้าความมาจากต้นที่สุดทีเดียว
คือกล่าวมาจากกำเนิดของจักรวาล
นี่เป็นการกระทำล้อเลียนเอกภพวิทยา
(Cosmology) ซึ่งมีมาในศาสนาทุกศาสนา
หากคราวนี้จะเป็นเอกภพวิทยา
ทางวิทยาศาสตร์อย่างใหม่เอี่ยมที่สุด
วัตถุประสงค์ของการกระทำเช่นนี้
อยู่ที่ความต้องการที่จะชี้ให้เห็นวิวัฒนาการทางปัญญาของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิวัฒนาการทางศาสนา
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจความเกี่ยวข้องของศาสนาต่าง
ๆ
ได้ดีขึ้นและไม่เป็นผู้หลงศาสนาอีกต่อไป
วิวัฒนาการทางศาสนา
เป็นวิวัฒนาการตอนต้น ๆ ของปัญญาแห่งมนุษย์ชาติ
พุทธศาสนาเป็นยอดปลายของวิวัฒนาการของศาสนา
การศึกษาพุทธศาสตร์จึงต้องเริ่มด้วยการศึกษาวิวัฒนาการ
แห่งศาสนาเสียก่อน
๕ ธันวามหาราช
________________________________________
ขอเรียนเชิญพุทธศาสนิกชน
สาธยายพระไตรปิฎกเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
กราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธนิมิตเมตตา ปางปฐมเทศนา
ชมพระไตรปิฎก พม่า , ศรีลังกา , ล้านนา , รัฐฉาน , เขมร , จีนและคัมภีร์โบราณ
ณ วัดใหม่ยายแป้น สี่แยกบางขุนนนท์ ถนนบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
รถเมล์สาย ๕๖, ๕๗,๗๙,๑๕๗, ๑๗๕,๔๐, ๕๔๒, ๘๐,๕๐๙,๒๘,๑๗๑
ที่มาจากปิ่นเกล้าลงที่สี่แยกบางขุนนนท์ เชิงสะพานลอย
ที่มาจากสามแยกไฟฉายลงที่เลยห้างแมคโคร เดินขึ้นมา (รถเมล์สาย ๕๗,๗๙ ผ่านหน้าวัด )
ติดต่อสอบถามได้ที่ พระมหาณรงค์ศักดิ์ ฐิติญาโณ (ไม่รับเงินบริจาค)
โทร. ๐๒-๔๓๕-๗๕๕๕ ๐๘๙–๙๖๓-๔๕๐๕ โทรสาร. ๐๒–๔๓๔–๑๒๓๘
ระหว่างวันอาทิตย์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน วันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒
สาธยายพระไตรปิฎก ตลอดไตรมาส (ตลอดพรรษา) ๒๔ ชั่วโมง
วันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒
เวลา ๑๙.๐๐ น. หยุดการสาธยายพระไตรปิฎก เจริญสมาธิและถวายเป็นพระราชกุศล
พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “ ธรรมและวินัยที่ตถาคตตรัสไว้ดีแล้วธรรมเหล่านั้นจะเป็นศาสดาของพวกเธอ”
การสาธยายพระไตรปิฎกจึงเสมือนได้เข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อานิสงส์การสาธยายพระไตรปิฎก
๑.พระไตรปิฎกเป็นตาวิเศษอันยิ่งบุคคลใดสาธยายพระไตรปิฎกแล้ว สามารถที่จะรู้ได้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ ทำให้เป็นสัมมาทิฎฐิ นำไปสู่ความสำเร็จและเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล คือตั้งแต่โสดาบัน สกทาคามี อนาคามีและอรหันต์ เข้าสู่นิพพาน
๒.พระไตรปิฎกเป็นหูที่วิเศษอันยิ่งฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สอนให้บุคคลนั้นดำรงชีวิตด้วยความถูกต้อง ที่เป็นสัมมาทิฎฐิ อย่างน้อยไม่ทำบาปทำแต่กุศล ได้ฟังแต่สิ่งที่เป็นมงคล การพูดก็ดี สุขภาพจิตก็ดี มีจิตใจที่ผ่องใส เมื่อจิตใจผ่องใสความคิดก็ดี ความจำก็ดีขึ้น มีสติไม่ทำให้เกิดอกุศล หน้าตาผ่องใสเป็นต้น (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔)
๓.พระไตรปิฎกเป็นจมูกที่วิเศษอันยิ่ง กลิ่นหอมที่ว่าหอมแม้จะลอยตามลมไปได้ ๑,๐๐๐ โยชน์ แต่ไม่สามารถที่จะทวนลมได้ แต่กลิ่นของความดี กุศลนั้นสามารถจะทวนลมและกระจายออกไปได้ทุกทิศ จะเป็นมีจมูกที่ได้กลิ่นของกุศลที่กระจอนไปทุกทิศ และไม่หลงติดอยู่กับกลิ่นหอมอย่างอื่น (พระไตรปิฎกเล่ม ๙และ ๑๖)
๔.พระไตรปิฎกเป็นลิ้นที่วิเศษอันยิ่ง ลิ้นคนเราแม้จะจำรสต่าง ๆ ได้ ไม่ช้าก็ลืมมีความสุขชั่วคราวทำให้คนขาดสติ แต่ลิ้นที่ลิ้มรสของพระธรรมนั้น ไม่มีความอิ่มในรสของพระธรรม เมื่อคนเราได้รับลิ้มรสของพระธรรมแล้ว จะทำให้ร่างกายผ่องใสทั้งภายในและภายนอก และจะช่วยรักษาโรคได้ทุกชนิด (พระไตรปิฎกเล่ม ๙และ ๑๖)
๕.พระไตรปิฎกเป็นกายที่วิเศษอันยิ่ง เมื่อบุคคลได้สาธยายแล้วทำให้มีสภาพที่ผ่องใสทั้งภายในและภายนอก มีกายที่เบาไม่เชื่องช้า เลือดลมในตัวเราที่เรียกว่าธาตุ๔นั้นก็สมบูรณ์ทำให้มีอายุยิ่งยืนนานสามารถหายจากโรคที่เกิดแต่กรรมได้
๖.พระไตรปิฎก เป็นใจที่วิเศษอันยิ่ง ใจดี ใจผ่องใส ใจเป็นหัวหน้า เมื่อใจเบิกบาน จิตใจเป็นกุศลก็สามารถเข้าถึงความเป็น โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์ในที่สุด(พระไตรปิฎกเล่ม ๙และ ๑๖)
๗.พระไตรปิฎก เป็นครู-อาจารย์ที่วิเศษอันยิ่ง สามารถที่จะสอนให้เรารู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล เมื่อรู้อย่างนี้แล้วสอนให้เรานำเอาหลักธรรมไปประพฤติปฏิบัติอันเป็นทางที่มีความสำเร็จในชีวิตนำทางไปเพื่อเข้าถึงพระนิพพาน(พระไตรปิฎกเล่ม ๙,)
๘.พระไตรปิฎก เป็นพ่อ-แม่ที่วิเศษอันยิ่ง พ่อแม่ไม่ได้หวังค่าตอบแทนจากลูกฉันใด พระไตรปิฎกเป็นผู้ที่สอนให้เรารู้ทุกอย่างที่เรายังไม่เคยรู้ นำทางให้เราเข้าถึงความเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ แล้วแต่ทางดำเนินชีวิตอันทำให้ถึงจุดหมายปลายทางคือพระนิพพาน(พระไตรปิฎกเล่ม ๑๒และ ๑๔)
๙.พระไตรปิฎกเป็นมิตรและเข็มทิศที่วิเศษอันยิ่ง เมื่อบุคคลได้สาธยายก็จะมีแต่มิตรนำทางไปสู่ที่ดีนำชีวิตไปสู่ความสุขทั้งตัวเอง ครอบครัวและสังคมที่ดี นำทางไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งในทุกสถานในกาลทุกเมื่อ (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๖)
๑๐.สมัยพระพุทธเจ้าชื่อว่ากัสสปะ พระสงฆ์สาธยายอภิธรรมในถ้ำ ค้างคาว ๕๐๐ ตัวได้ฟังเมื่อถึงคราวตายแล้วไปจุติที่ชั้นดาวดึงส์ ชาติสุดท้ายมาเกิดเป็นลูกศิษย์พระสารีบุตรและเป็นอรหันต์เป็นที่สุด
๑๑.การสาธยายพระไตรปิฎกที่ว่า “กรรมเก่าไม่มีใครลบล้างได้ กรรมปัจจุบันจะช่วยได้ จงจำไว้ กรรมที่ทำด้วยเจตนาไม่ว่าดีหรือชั่ว ย่อมมีผลต่อผู้กระทำทั้งสิ้น ไม่มีพรหมเทพองค์ใดจะช่วยลบล้างกรรมนั้นได้ เธอจงช่วยตนเอง ด้วยการสวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตาผลแห่งบุญอันเป็นกรรมปัจจุบัน จะช่วยเธอได้” ตอนหนึ่งที่กล่าวกับนางโรหิณี
๑๒.การสาธยายหรือการสวดมนต์ ย่อมจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตของตนและประโยชน์แก่จิตอื่น
และสามารถที่จะทำให้ผู้ที่สวดมนต์สาธยายมีความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้
บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่อันพึงจะเกิดขึ้นในครั้งนี้
ขอน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ผู้เป็นพ่อของแผ่นดินที่ให้อาศัยแก่เราและวงศ์ตระกูลได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขและเจริญก้าวหน้าตลอดมา
ขอธรรมของพระศาสดาเป็นประดุจดังธรรมโอสถทิพย์ ที่จะช่วยคลายทุกข์ให้ประชาชนคนไทยได้รู้รักสามัคคีเฉกเช่นพี่น้องร่วมอุทรอันไม่พึงทำร้ายซึ่งกันและกันด้วยกาย วาจา ใจ ขอให้พี่น้องประชาชนทั้งหลายเป็นผู้มั่นคงและถึงพร้อมด้วยความดี เพื่อแผ่นดินไทยอยู่อย่างผาสุกตลอดกาลและนาน เทอญ