ธาตุอีกส่วนหนึ่งที่ถือเป็นธาตุพื้นฐาน คือ อากาสธาตุ. พุทธศาสนาถือว่าอากาสธาตุ คือ สิ่งที่รวมอยู่ในจตุรธาตุข้างต้นนั่นเอง, โดยถือเป็นอุปาทายรูปประการหนึ่ง ทั้งนี้เพราะเราไม่สามารถรับรู้อากาสธาตุ หรืออวกาศได้ โดยปราศจากการครองที่ของวัตถุหรือรูป.
ความหมายของอากาสธาตุในพุทธศาสนา คือ อวกาศ อันหมายถึงช่องว่าง, ความว่างเปล่า, ธรรมชาติอันนับว่าเป็นความว่างเปล่า. ในรูปกัณฑ์ ธัมมสังคณีกล่าวถึงอากาสธาตุไว้ว่า เป็นรูปอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเพราะอาศัยมหาภูตรูปข้างต้นโดยถือว่า “ธรรมชาตินับว่าอวกาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับว่าเป็นความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าเป็นช่องว่าง อันมหาภูตรูป ๔ ถูกต้องไม่ได้อันใด รูปนี้เรียกว่าเป็นอากาศธาตุ. แม้ว่าอากาศธาตุเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการรับรู้แต่เราก็รู้ได้ในฐานะที่วัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าไปแทนที่อยู่.
ในวิสุทธิมรรค กล่าวว่า...
อากาสธาตุมีการกำหนดขอบเขตรูปเป็นลักษณะ มีการแสดงที่สุดของรูปเป็นรส มีขอบเขตของรูปเป็นปัจจุปัฏฐาน หรือมีความเป็นช่องเป็นร่องเป็นปัจจุปัฏฐาน มีรูปที่เป็นรูปร่างเป็นปทัฏฐาน รูปที่มีอากาสตัดตอนแล้ว ทำให้กำหนดได้ว่านี้เป็นรูป ด้านบน ด้านล่าง ทางขวาง
อากาสธาตุ หรืออวกาศ มีความแตกต่างจากธาตุลมอย่างสิ้นเชิง เพราะธาตุลมยังต้องการอวกาศรองรับอีกต่อหนึ่ง. ลมเป็นธาตุหนึ่งในธาตุ ๔ ข้างต้น, ส่วนอวกาศหมายถึงความว่างเปล่าจากสิ่งใด เพื่อที่จะให้มีสิ่งใด ๆ ปรากฏ.ส่วนนี้เอง คือ เหตุผลในการอธิบายว่า ทำไมพุทธศาสนาจึงรวมอากาสธาตุเป็นอุปาทายรูป,เพราะรูปจะปรากฏได้ ก็ต้องมีอากาสธาตุรองรับ, สมมติว่า A อยู่ที่จุด A ๑ , B ย่อมไม่สามารถไปอยู่ที่จุดนั้นได้อีก เพราะไม่มีอวกาศสำหรับ B ข้อนี้มีลักษณะเดียวกันกับหลักตรรกวิทยา, เมื่อเรายืนยันว่า “ตัวมันเองคือตัวมันเอง” เพราะเมื่อสิ่งหนึ่งปรากฏ ย่อมไม่สามารถให้อีกสิ่งหนึ่งปรากฏซ้อนกันได้อีก.
ในความหมายนี้ อากาสธาตุจะปรากฏก็เมื่อมีรูป หรืออุปาทายรูปอื่น ๆ เข้าไปครองที่อยู่, อวกาศจึงสัมพัทธ์ต่อการกินที่ของรูป และเราจะรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีรูปไปกินที่อยู่. อวกาศเกิดขึ้นเมื่อมีรูปเกิดขึ้น, รูปมีอยู่แค่ไหน อวกาศก็มีอยู่แค่นั้น. เหตุผลในส่วนนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่า อากาสธาตุเองก็เปลี่ยนแปลงได้.ข้อสังเกตนี้มีเหตุผลที่จะทำให้เราได้ฉุกคิดก่อนการสรุปว่า อากาสธาตุอาจเป็นอสังขตธรรม.
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราจะมองว่าอวกาศเป็นรูปโดยตัวมันเอง ก็อาจเห็นได้ดังที่กล่าวแล้ว พุทธศาสนามองว่า อวกาศเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของอนุภาคที่ทำให้รวมกันเป็นสังขตธรรม. อวกาศไม่ใช่สิ่งที่โดดเด่นในตัวเอง แต่มีความสำคัญในฐานะเป็นองค์ประกอบร่วมเทียบเท่าธาตุอื่น. ด้วยเหตุผลนี้ ทำไมเราจึงทำเบ้าหลอมเครื่องประดับเป็นรูปต่าง ๆ ได้ เพราะเราทำให้มีอวกาศสำหรับวัตถุที่เข้าไปมีจำนวนจำกัดตามรูปแบบที่เราต้องการ.
--->>> ในการทำสมาธิในพุทธศาสนา ในระดับอรูปฌาน ชั้นอากาสานัญจายตนะผู้ทำสมาธิจะกำหนดอารมณ์ว่า อากาศไม่มีที่สุด. ในหนังสือวิสุทธิมรรค, พระพุทธโฆษาจารย์อธิบายไว้ว่า ให้ทำไว้ในใจ (ให้เป็นอารมณ์) ว่า อากาสเป็นสิ่งละเอียดแผ่อารมณ์ไปทั่วจักรวาล หรือเท่าที่ต้องการ. ในความหมายนี้ส่อแสดงให้เห็นว่า อวกาศเป็นสิ่งที่ไม่สิ้นสุด ไม่ว่าด้วยการรับรู้ หรือโดยตัวมันเอง.ประเด็นอีกส่วนหนึ่งที่อภิปรัชญาศึกษาคู่กับเรื่องอวกาศ คือ เวลา. ตามแนวความคิดของพุทธศาสนานั้นถือว่าเวลาไม่มีที่สิ้นสุด. จุดสำคัญที่เราจะพิจารณาก็คือ อะไร คือเวลาที่แท้จริง.
เนื่องจากพุทธปรัชญาจะเพ่งเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นก็คือ ความเปลี่ยนแปลง,และเนื่องจากจักรวาลและสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ขาดสาย, ความเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง. ข้อนี้เป็นพื้นฐานทำให้เกิดเวลา. เวลาเป็นสิ่งที่กำหนดเรียกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น. เราอาจอยู่ในโลกที่ไร้กาลเวลาได้ก็ต่อเมื่อเราทำให้ไร้การเปลี่ยนแปลง.
ในวิสุทธิมรรค ได้กำหนดการวิภาคการเปลี่ยนแปลง (และทุกข์ และ อนัตตา) ออกเป็นการกำหนดตามเวลา. เพราะเรามองเห็นการเปลี่ยนแปลงทำให้เราสามารถเริ่มกำหนดเวลาได้.
ในโลกทีปกสาร ได้กล่าวถึงระบบการนับเวลาไว้ดังนี้
๑ ปี = ๑๒ เดือน
๑ เดือน = ๓๐ วันและคืน
๑ วันและคืน = ๖๐ นาฬิกา (นาทิกา)
๑ นาฬิกา (นาทิกา)= ๔ บาท
๑ บาท = ๑๕ ปฏินาฬิกา (วินาทิกา)
๑ ปฏินาฬิกา (วินาทิกา) = ๖ ปรานา (ปราณ)
๑ ปรานา (ปราณ) = ๑๐ อักขระ
พระสิริมังคลาจารย์ได้แสดงให้เห็นว่า เรากำหนดเวลาจากการเปลี่ยนแปลงอย่างไร, ไว้ในหนังสือชื่อ จักรวาฬทีปนี ว่าดังนี้.
ด้วยศัพท์ว่า อักขระ หมายถึงเป็นกาลสวดอักขระนั้น. ในศัพท์ว่า ปราณ เป็นต้นก็นัยนี้. ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า กล่าวคือ อัสสาสะและปัสสาสะ ชื่อว่า ปราณ. ศัพท์ว่า วินาทิกา มีความหมายว่า ปราศจากนาทิกา. ศัพท์ว่า นาทิกาเป็นชื่อเรื่องของลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ด้วยศัพท์ว่า นาทิกา ท่านกล่าวหมายเอาช่วงที่ไม่มีลมหายใจเข้าและหายใจออก............
ข้อความนี้ยืนยันว่า ไม่ว่าเราจะนับเวลาอย่างไร เราจะอาศัยการเปลี่ยนแปลงเป็นตัวกำหนด เวลาไม่มีเมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลง. แต่การเปลี่ยนแปลงยังคงดำเนินไป ไม่ว่าจะนับและกำหนดเป็นเวลาหรือไม่ก็ตาม.
ในพุทธศาสนาจึงถือว่าเวลาไม่มีที่สุดข้างต้น (ไม่มีจุดเริ่มต้น) และไม่ที่สุดเบื้องปลาย, ซึ่งหมายความว่าเวลาไม่มีจุดเริ่มต้น. การถือว่าเวลาไม่มีการสิ้นสุดเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีที่สิ้นสุด. ในแง่อภิปรัชญาของพุทธศาสนา เมื่อกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงแล้ว ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องอ้างถึงกาลอีก. ดังนั้น จึงไม่มีการยืนยันถึงเรื่องกาลเวลาไว้ต่างหาก เพราะมันเป็นความมีอยู่ที่ขึ้นอยู่กับอีกสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนอยู่แล้ว. การเกิดขึ้นของสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องการอวกาศแต่ไม่มีความจำเป็นในการต้องการเวลา เพราะการเปลี่ยนแปลงเป็นกาลเวลาโดยตัวมันเอง.เพียงแต่เรากำหนดการเปลี่ยนแปลงนั้นเท่านั้นเอง, เวลาก็เกิดขึ้น.
ไม่มีความเห็น