ประเภทของสมาธิ
๑. สมาธิ ๒
ได้แก่
- อุปจารสมาธิ สมาธิจวนจะแน่วแน่
- อัปปนาสมาธิ สมาธิแน่วแน่
หมายเอาสมาธิในองค์ฌาน
๒. สมาธิ ๓ ได้แก่
- ขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ
- อุปจารสมาธิ สมาธิจวนจะแน่วแน่
- อัปปนาสมาธิ สมาธิแน่วแน่
หมายเอาสมาธิในองค์ฌาน
๓. สมาธิ ๓ ได้แก่
- สุญญตสมาธิ
คือสมาธิที่กำหนดพิจารณาความว่างได้แก่ตัววิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้น
ด้วยการกำหนดอนัตตลักษณะ
- อนิมิตตสมาธิ คือ
สมาธิที่กำหนดพิจารณาธรรมที่ไม่มีนิมิต
ได้แก่ตัววิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้น ด้วยการกำหนด
อนิจจลักษณะ
- อัปปณิหิตสมาธิ คือ
สมาธิที่กำหนดพิจารณาธรรมไม่มีความตั้งปรารถนา ได้แก่
ตัววิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยการกำหนดทุกขลักษณะ
ในบรรดาสมาธิ ๓ ประเภทนี้ สมาธิ
๒ สมาธิ ๓ ข้างต้น
เป็นสมาธิที่เกิดจากการเจริญสมถกรรมฐาน
เพราะการเจริญสมถะจะทำให้เกิดสมาธิขั้นใดขั้นหนึ่ง
ถึงอัปปนาสมาธิ ส่วนสมาธิ ๓
ประเภทหลัง
ได้แก่สมาธิที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนา
โดยการกำหนดพิจารณาไตรลักษณ์
วิธีฝึกสมาธิ
ที่ได้ยึดถือปฏิบัติกันสืบ ๆ มาตามแนวคัมภีร์วิสุทธิมรรค
มีลำดับขั้นตอนดังนี้
(๑) ตัดปลิโพธิ
(๒) เข้าหากัลยาณมิตร
(๓) รับเอากรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ใน ๔๐
อย่าง
(๔) อยู่ในวัดที่เหมาะสมกับการเจริญสมาธิ
(๕) ปฏิบัติตามวิธีเจริญสมาธิ การเจริญสมาธิ
จิตจะประณีตขึ้นตามลำดับ เป็นขั้น ๆ
ภาวะจิตจะสงบเป็นสมาธิถึงขั้นอัปปณา
เป็นสมาธิที่เกิดจากองค์ฌาน หรืออาจกล่าวได้ว่า
ผลจากการเจริญสมาธิจะทำให้ได้ฌานสมาบัติ
ฌานสมาบัติแม้เป็นสภาวะแห่งจิตที่ลึกซึ้ง
แต่ก็ยังเป็นเพียงระดับโลกีย์เท่านั้น
ไม่ใช่จุดหมายที่แท้จริงของพุทธปรัชญา
ในภาวะแห่งฌานที่เป็นผลของสมาธินั้นกิเลสต่าง ๆ จะสงบระงับไปชั่วคราว
ไม่ยั่งยืนแน่นอน
คือกิเลสระงับไปเพราะถูกกำลังสมาธิข่มไว้
เหมือนหินทับหญ้า
ยกหินออกเมื่อใดหญ้าก็กลับงอกขึ้นได้อีกอย่างไรก็ตาม
แม้ฌานจะไม่ใช่จุดหมายของพุทธปรัชญาก็ตาม
แต่สามารถนำเอาฌานที่ได้ใช้เป็นบาทเจริญวิปัสสนาต่อ
เพราะจิตที่เป็นสมาธิเป็นจิตที่ควรแก่การงาน
พร้อมที่จะถูกพัฒนาให้สูงขึ้น ๆ
จนถึงบรรลุธรรมขั้นสูงสุด
จุดประสงค์ของการฝึกสมาธิก็เพื่อการอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
เพื่อได้ญาณทัศนะเพื่อมีสติสัมปชัญญะ
และเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
สมดังพุทธพจน์ว่า
ภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา (การเจริญสมาธิ) มี ๔
อย่าง คือสมาธิภาวนา ที่เจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหาร
สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อการได้ฌานทัศนะ สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ
สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่ง
อาสวะทั้งหลาย
จากพุทธพจน์ แสดงให้เห็นว่า สมาธิที่เจริญดีแล้ว
ย่อมได้ประโยชน์ ๔ ประการ
คือสามารถดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความสุขในปัจจุบัน,
มีญาณทัสสนะที่ถูกต้อง, มีสติสัมปชัญญะ
และที่สำคัญคือไม่มีกิเลสอันได้แก่ อวิชชา ตัณหา
อุปาทาน มารบกวน
นับได้ว่าเป็นจุดหมายปลายทางของพุทธปรัชญา
สมาธิ
ในพุทธปรัชญา หมายถึง ภาวะที่จิตแน่วแน่
มั่นคง หรือ ภาวะที่จิต ตั้งมั่น
และยังมีความกว้างไปถึงการกำหนดพิจารณาไตรลักษณ์ด้วย ได้แก่
สมาธิที่เป็นตัววิปัสสนาที่พิจารณาเห็นสภาพตามความเป็นจริงตามลักษณะทั้งสามนั้น
และเป็นข้อที่ให้สำเร็จความหลุดพ้น สมาธิที่เป็นตัววิปัสสนานี้
ได้แก่ สุญญตสมาธิ, อนิมิตตสมาธิ และ
อัปปณิหิตสมาธิ
ท่าในการฝึกสมาธิ
คือขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นั่งตัวตรง
หลับตา
แล้วกำหนดอารมณ์ที่เหมาะสมกับจริตของตนอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔๐
อย่าง เช่นกำหนดลมหายใจเข้าออก (อาณาปานสติ)
หรือเพ่งกสิณ เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นสมกรรมฐาน
และผลที่เกิดจากการฝึกสมถกรรมฐาน
คือได้ฌานสมาบัติซึ่งมิใช่จุดหมายของพุทธปรัชญา
การจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางได้
จะต้องเจริญวิปัสสนาต่อโดยใช้สติพิจารณา กาย,
เวทนา, จิต, ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง
ผลของวิปัสสนาจะทำให้เกิดวิปัสสนาญาณ
ที่รู้เห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
รู้เท่าทันกิเลส ตัณหา
และบรรลุถึงความหลุดพ้นในที่สุด
ไม่มีความเห็น