สำนักข่าวต่างประเทศรายงานอ้างนิตยสารเจอร์นัล ซาย ฉบับล่าสุดประจำวันศุกร์ที่ 24 มี.ค. ตีพิมพ์คำสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ของนายโจนาธาน โอเวอร์เปก แห่งมหาวิทยาลัยอริโซนา ผู้วิจัยเรื่องโลกร้อน ว่า หากปัญหาโลกร้อนยังดำเนินต่อไป ภายในสิ้นศตวรรษโลกจะมี อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2.5 องศาเซลเซียส หรือร้อนเกือบเท่าเมื่อ 13,000 ปีที่แล้ว แผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์และก้อนน้ำแข็งทางขั้วโลกใต้จะหลอมละลาย ทำให้ระดับน้ำทะเลสูง ขึ้นกว่าปัจจุบัน 20 ฟุต หรือ 6 เมตร ซึ่งหมายถึงไมอามีก็อาจเหลือเพียงความทรงจำ กรุงเทพฯจะชุ่มไปด้วยน้ำทะเล
อย่างไรก็ดี
โอเวอร์เปกกล่าวทำนายว่า หายนภัยบางประการ
และระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น อาจเกิดขึ้นภายใน
2,500
ปี ไม่ใช่อนาคตอันใกล้
ประมาณการได้ว่าโลกจะร้อนขึ้นราวปีต้นๆ ของครึ่งศตวรรษหลัง
โดยทันทีที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น แผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่จะเริ่ม
ละลายมากกว่าที่เป็นอยู่ โอเวอร์เปกกล่าวต่อไปว่า
หากเราปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างทุกวันนี้
เราก็จะเห็นแผ่นน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ผ่านมาการหลอมละลายของน้ำแข็งอยู่ในบริเวณขั้วโลกเหนือ
ซึ่งจุดที่แผ่นน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกละลายจะเปลี่ยนแปลงไปตามวงโคจรของโลก
“เราจำเป็นต้องเริ่มดำเนินมาตรการอย่างจริงจังที่จะลดภาวะเรือนกระจกใน
10 ปีข้างหน้า ถ้าเราไม่ทำ ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 4-6
เมตรในอนาคต” โอเวอร์เปกกล่าว
นายโอเวอร์เปกดำเนินการวิจัยเรื่องโลกร้อน ร่วมกับนายเบตตี
ออตโต-บลีสเนอร์
ผู้ร่วมวิจัยสภาพอากาศร้อนจากศูนย์วิจัยชั้นบรรยากาศแห่งชาติโคโลราโด
(เอ็นซีเออาร์) ทั้งคู่ใช้คอมพิวเตอร์จำลองสภาพอากาศ
จำลองแผ่นน้ำแข็ง และใช้ข้อมูลสภาพอากาศเก่า
จัดทำสภาพอากาศโลกเมื่อ 129,000 ปีก่อน
เปรียบเทียบกับสภาพอากาศในปัจจุบันและ
ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
วันเดียวกัน
นักสิ่งแวดล้อมแห่งศูนย์เพื่อการวิจัยป่าระหว่างประเทศ
“ฟอเรสต์ เทรนส์”
ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ระบุในรายงานว่า
ผู้บริโภคชาว อเมริกัน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น
พากันซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตในจีน
โดยหารู้ไม่ว่านำเข้าวัตถุดิบจากประเทศต่างๆ
ที่มีการลักลอบค้าไม้ผิดกฎหมาย
ซึ่งจีนเป็นผู้นำเข้าไม้จากประเทศเขตร้อนที่กำลัง
พัฒนาเช่นอินโดนีเซียและปาปัวนิวกินี ที่มักเกิดการลอบตัดไม้เป็นประจำ
เมื่อต้นเดือน มี.ค. ทางฟอเรสต์
เทรนส์เคยแฉรายงานระบุถึงไม้ผิดกฎหมายจากปาปัวนิวกินีเป็นไม้เถื่อนจากพม่า
ส่วนไม้ผิดกฎหมายในอินโดนีเซียถูกส่งไปจีน.
ไม่มีความเห็น