การสอนเด็กต่างระดับในห้องเรียนเดียวกัน (Multi Level Teaching)
ความหมาย
การสอนเด็กต่างระดับในห้องเรียนเดียวกัน หรือการสอนเรื่องเดียวกันให้แก่เด็กที่มีความสามารถต่างกันนี้ตามหลักปฏิบัติของครูผู้สอน ได้นำทฤษฎีการเรียนและความสามารถที่แตกต่างของแต่ละบุคคลของบลูม(Bloom) มาประยุกต์ใช้โดยสร้างบทเรียนเดียวกันให้เหมาะสมกับเด็กหลายระดับเนื่องจากเด็กแต่ละคนมิได้มีความสามารถเหมือนกันและเท่ากัน ครูผู้สอนจึงจะต้องจัดกิจกรรมให้หลากหลาย และให้เด็กทุกคนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนในแต่ละหน่วย มีโอกาสใช้ความสามารถต่าง ๆ ของคนเองอย่างเต็มที่
แนวคิดและทฤษฎี
1. ทฤษฎีของบลูม (Bloom's Theory of Learning) ได้แบ่งความสามารถในการเรียนรู้ของคนเป็น
6 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 ขั้นมีความรู้พื้นฐาน (Knowledge)
ระดับที่ 2 ขั้นความเข้าใจ (Comprehension)
ระดับที่ 3 ขั้นนำไปใช้ Application)
ระดับที่ 4 ขั้นวิเคราะห์ความรู้ (Analysis)
ระดับที่ 5 ขั้นสังเคราะห์ (Synthesis)
ระดับที่ 6 ขั้นประเมินผล (Evaluation)
การประยุกต์ใช้ในทฤษฎีของ่บลูม
ตามทฤษฎีนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเด็กที่มีความสามารถต่างกันในห้องเรียนเดียวกันได้โดยการสอนเรื่องเดียวกันในหลายๆ ระดับตามความง่ายและยาก โดยจัดเป็นขั้นตอนตามลำดับอาจแบ่งเป็น ระดับ 1-2, ระดับ 3-4 และระดับ 5-6 ซึ่งการสอนเช่นนี้คงจะต้องสังเกตพฤติกรรมเด็กพร้อมกับทำความเข้าใจเด็กเป็นรายบุคคลด้วย
2. ทฤษฎีองค์ประกอบทางสติปัญญาของการ์ดเนอร์ (Gardner's Theory of Multiple Intelligence)
การ์ดเนอร์ (Gardner : 1985) กล่าวว่า ความสามารถทางสติปัญญาของมนุษย์แบ่งเป็น 7 ด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1 ความสามารถทางดนตรี (Musicle)
ด้านที่ 2 ความสามารถทางภาษา (Linguistic)
ด้านที่ 3 ความสามารถทางการรับรู้โดยการสัมผัส (Kinesthetic)
ด้านที่ 4 ความสามารถทางคณิตศาสตร์ (Mathematical)
ด้านที่ 5 ความสามารถทางการกะระยะพื้นที่ (Spatial)
ด้านที่ 6 ความสามารถทางด้านศีลธรรมจรรยา (Moralistic)
ด้านที่ 7 ความสามารถทางด้านสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (Interpersonal)
มนุษย์ทุกคนมิใช่จะต้องมีความสามารถในทุกๆ ด้านตามที่กล่าวมาแล้ว บางคนอาจถนัดในเรื่องเดียว บางคนอาจมีความถนัดสองด้าน หรือบางคนอาจมีความสามารถหลายๆ ด้านรวมกันก็ได้
วิธีการสอน
การสอนควรใช้หลาย ๆ วิธีในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น สอนเรื่องการประกอบอาหาร เราอาจใช้วิธีการต่าง ๆ หลาย ๆ วิธีเพื่อให้เด็กมีความรู้ความสามารถด้านหนึ่งด้านใด โดยการเรียนรู้ร่วมกันกับเพื่อน ๆ ดังนี้
กิจกรรมที่ 1 ให้ร้องเพลงและเล่นดนตรีสอดคล้องกับชื่ออาหารและวิธีทำ ตัวอย่างเช่น เพลงพระราชนิพนธ์ "ส้มตำ" โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เป็นกิจกรรมนันทนาการ
กิจกรรมที่ 2 ให้เด็กพูดและอธิบาย เกี่ยวกับการประกอบอาหาร "ส้มตำ" ตามบัตรงานการประกอบอาหาร เป็นกิจกรรมทางภาษา
กิจกรรมที่ 3 ให้เด็กได้สัมผัส หยิบชิ้นส่วนประกอบหรือวัสดุที่ใช้ปรุงอาหาร "ส้มตำ" เป็นการเรียนรู้ลักษณะของวัสดุ
กิจกรรมที่ 4 ให้เด็กได้ ชั่ง ตวง วัด นับจำนวนอาหารที่ประกอบขึ้น เป็นการบริหารการวางแผนทำ "ส้มตำ"
กิจกรรมที่ 5 ให้เด็กได้รู้จักทิศทาง การคาดคะเน กะระยะ การวางอาหารบนโต๊ะให้เหมาะสม
กิจกรรมที่ 6 ให้เด็กรู้จักแบ่งปันอาหาร ตักแบ่งให้เพื่อน รับประทานอาหารให้หมด รู้จักนำอาหารที่เหลือไปให้สัตว์เลี้ยง
กิจกรรมที่ 7 ให้เด็กร่วมมือกันทำงาน แบ่งหน้าที่รับผิดชอบร่วมกัน โดยการแบ่งงานทั้ง 5 ข้อ ทำไปตามหน้าที่ ความรับผิดชอบและตามความสามารถ
การประเมินผล
ผู้ประเมิน
1. ประเมินผลด้วยตนเอง
2. ประเมินผลโดยครู
วิธีการประเมิน
1. สังเกตพฤติกรรม
2. ตรวจสอบใบประเมิน ระดับคะแนน
3. แบบประเมินรวมคะแนน
4. เทียบเกณฑ์ในการประเมิน
สรุปผลจัดกิจกรรมตามลำดับขั้นตอน
ขั้นที่ 1 การเตรียม
ขั้นที่ 2 การแบ่งงาน
ขั้นที่ 3 การดำเนินการ
ขั้นที่ 4 การประเมินผล
แหล่งอ้างอิง http:// www.nrru.ac.th
ไม่มีความเห็น