เทคนิคการบริหารเงิน


เงิน

1. ความสำคัญของการบริหารเงิน
1.1 เงินมีจำกัด เงินในกระเป๋าของท่านล้วงออกมาก็จะพบว่าเงินค่อนข้างจำกัด หลายท่านอาจจะมีบัตร เครดิต แต่ก็ถูกจำกัดวงเงิน
1.2
ความต้องการใช้เงินมาก เรามีความต้องการใช้เงินตลอดเวลา ไม่เฉพาะกับธุรกิจ แม้กระทั่งส่วนตัวของท่านก็มีการใช้เงินตลอดเวลา
1.3
การลงทุนมีหลายประเภท และแต่ละประเภทมีระยะเวลาการให้ผลตอบแทนแตกต่างกัน การลงทุนโดยการซื้อของมาขายให้ผลตอบแทนเร็ว ขณะที่การลงทุนปลูกสร้างอาคารให้ผลตอบแทนช้า
1.4
เงินมีต้นทุน เรามีเงินอยู่ในกระเป๋า 100 บาท ไม่ได้หมายความว่า 100 บาท ใช้ทำอะไรก็ได้ แต่ในแง่ของผู้ประกอบการเราต้องใช้เงิน 100 บาทอย่างฉลาดที่สุดโดยคำนึงถึงต้นทุนของเงิน ซึ่งต้นทุนของเงินก็มีอยู่ 2 ประภท คือ
ต้นทุนการเสียโอกาสของการใช้เงินที่เรามีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สิ่งเหล่านี้สำคัญ เงินก้อนหนึ่ง ถ้าเราเลือกใช้ไปแล้ว อาจไม่ได้ผลประโยชน์ตอบแทนเลย แต่ถ้าเราเลือกใช้ไปในอีกทางหนึ่งกลับให้ผลตอบแทนมากมาย การเลือกที่จะลงทุนในอีกประเภทหนึ่ง โดยที่ไม่มีการลงทุนในอีกประเภทหนึ่ง ถือว่ามีการเสียโอกาสเกิดขึ้น ท่านผู้ประกอบการจะต้องชั่งน้ำหนักการใช้จ่ายเงินในแต่ละทางเลือกให้
ชัดเจน ในกรณีที่เป็นเงินของเราเอง
ต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งต้องใช้จ่ายให้แก่สถาบันการเงินของเราเอง
1.5
ป้องกันปัญหาเงินขาดแคลน การขาดแคลนเงินเนื่องจากสาเหตุต่อไปนี้
ยอดขายไม่เป็นไปตามที่เราวางเป้าหมายเอาไว้
ต้นทุนประกอบการ ต้นทุนสินค้า ควบคุมไม่ได้ ต้นทุนสูง ขายไปแล้วมีแต่ขาดทุน
ขายสินค้าไปแล้วเก็บเงินไม่ได้ แต่ถ้าเราขายเชื่อ ขายให้กับลูกหนี้ที่ยิ่งยาว ยิ่งมีความเสี่ยง เพราะโอกาสที่จะเก็บเงินมาได้นั้นแตกต่างกันเราจำเป็นต้องวิเคราะห์ความสามารถในการจ่ายเงินของลูกหนี้ด้วย

การซื้อสินค้ามากเกินสต๊อกมากเกินไป ธุรกิจ โรงพิมพ์เห็นได้ชัดเวลาที่เราจะพิมพ์การ์ด จะสังเกตเห็นเราต้องซื้อการ์ดสำเร็จที่เป็นรูปกระดาษมาสต๊อกไว้เสมอ เพราะเราต้องการให้ลูกค้าเข้ามาเห็นการ์ดของจริง ไม่ได้มองว่าให้ลูกค้ามาดูแคตตาล็อก แล้วเราไปซื้อมาพิมพ์ให้ลูกค้าเพราะฉะนั้นเราก็จำเป็นต้องเดาสุ่มว่าสินค้าตัวไหน กระดาษตัวไหน สวยพอน่าลูกค้าจะสั่งพิมพ์แล้วถ้าเกิดปัญหา บางอย่างซื้อมาเป็นปี ๆ หนึ่งพิมพ์ไม่กี่ครั้งแค่นั้นเอง การมีสินค้าสต๊อกมากเกินไปเกิดจากอะไร เกิดจากเราไม่รู้ว่าจะขายอย่างไรให้กับลูกค้าบ้าง เราก็ต้องสต๊อก มีเงินเท่าไหร่ก็ถมให้กับสต๊อกหมดเลย ยิ่งสต๊อกมากเท่าไหร่ เงินก็ยิ่งขาดมากเท่านั้น
การใช้เงินผิดประเภท ใช้เงินลงทุนไปในโครงการที่เราคิดว่าจะได้เงินกลับเข้ามาเร็ว แต่ในทางปฎิบัติหรือความเป็นจริงลงทุนไปแล้วมันไม่กลับเข้ามา หรือได้เงินกลับมาช้า

2.
แนวทางการบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
การบริหารเงินอย่างมีประสิทธภาพ ต้องรู้ 3 ข้อ
2.1
ต้องมีการวางแผน แล้วพยากรณ์การใช้เงินก่อน ในรอบปี หรือรอบไตรมาส อีก 3 เดือน เราจะต้องมีค่าใช้จ่ายเงินอย่างไรบ้าง แล้วเราจะมีการได้เงินมาอย่างไรบ้าง ก็คือจะขายได้เท่าไหร่ หรือจัดการในสต๊อกคงค้าง หรือลูกหนี้คงค้างอย่างไร เพราะฉะนั้นการพยากรณ์การใช้เงิน จำเป็นมาก ๆ เลย ที่จำเป็นต้องพยากรณ์อย่างมีประสิทธิภาพ คือต้องพยากรณ์สมเหตุสมผลควบคู่ไปกับการทำงบประมาณ
2.2
ต้องมีการจัดหาเงิน เงินมีอยู่ 2 แหล่งเท่านั้นเองในโลกนี้ คือเงินกู้ จากสถาบันการเงินอะไรต่าง ๆ กับเงินของตัวเราเอง หรือเงินของเพื่อน ในแง่ของการร่วมลงทุน เมื่อเรามีการวางแผนแล้ว เราต้องมีการนำเสนอแผนงานการลงทุนการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะอย่างนั้นแล้ว คนที่จะมาเป็นแหล่งเงินของเรา เขาไม่มาหรอก ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร สถาบันการเงิน หรือแม้กระทั่งหุ้นส่วนของเรา
2.3
ต้องมีการใช้เงินได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ ตามแผนงานที่วางไว้แล้ว ผู้ประกอบการหลายท่าน วางแผนไว้แล้ว แต่เวลาการใช้เงินไม่เป็นไปตามแผนการ ใช้ตามใจเช่นวันดีคืนดีเห็นรถออกใหม่ อยากได้ท่านก็จะเอาเงินของกิจการไปซื้อ เหล่านี้ไม่ถูกต้อง การใช้เงินแบบผิดวัตถุประสงค์ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรมากมายประเมินค่าไม่ได้มานักต่อนักแล้ว เพราะฉะนั้นการใช้เงินให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ตัวนี้สำคัญมากกว่าการพยากรณ์ และการจัดหาเงินทุนเสียอีก

3.
เทคนิคการบริหารเงิน
3.1 ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้จ่ายเป็นแบบผันแปรการบริหารกิจการของท่านควรพิจารณาการบริหารงานให้มีโครงสร้างต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายเป็นโครงสร้างผันแปรมากกว่าโครงสร้างคงที่ ค่าเช่าก็ดี ค่าจ้างพนักงานแบบคงที่ ก็คือพนักงานขายของท่านจ้างมาเดือนละ 1 หมื่น แต่เขาขายของไม่ได้สักชิ้นก็ต้องจ่าย 1 หมื่นอันนี้เรียกว่าคงที่ การหมุนมาเป็นค่าใช้จ่ายแบบผันแปรก็คือท่านต้องจ่ายเขาแค่ 5 พันบาท เดิมจ่ายให้กิน 3 มื้อสบาย ๆ ได้เที่ยวด้วย เหลือแค่สักมื้ออีกสองมื้อต้องทำงานแลกกัน เพราะฉะนั้นยิ่งขายมากก็ได้มาก ยิ่งขายน้อยก็ได้น้อย เพราะฉะนั้นเขาก็เปลี่ยนจากลูกจ้างมาเป็นหุ้นส่วนของท่านโดยปริยาย ไม่จำเป็นต้องให้หุ้น ไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรแต่อย่างใดเลย การบริหารให้มีต้นทุนแบบผันแปรก็เหมือนกับได้พนักงานเป็นหุ้นส่วนแล้ว ข้อสำคัญก็คือวางแผนตอบแทนเขา วางอย่างยุติธรรม ข้อประการสำคัญของผู้ประกอบกิจการหรือเถ้าแก่บางคน พอผันแปรไปแล้ว ธุรกิจมันเด้งมากไปหน่อย ชักเสียดาย ชักติดเบรกแล้ว อย่าไปทำลาย โครงสร้างแบบนี้สำคัญ เขาคือพาร์ทเนอร์ของท่านโดยที่ไม่ต้องเสียหุ้นเลยแม้แต่หุ้นเดียว ให้ท่านบริหารแบบโครงสร้างผันแปร มากกว่าโครงสร้างคงที่
3.2
ควบคุมงบประมาณมีการวางแผนและควบคุมประเมิน วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้แผนการเงินไม่บรรลุและสร้างความรับผิดชอบร่วมกันของพนักงาน
3.3
ลดการสูญเสียและความเสียหายของสินค้าโดยการควบคุมประสิทธิภาพการผลิด
3.4
อย่าลงทุนผิดประเภท เพราะว่าการลงทุนผิดประเภทไม่การันตีถึงความสำเร็จเลย ถ้าเป็นไปได้ลดการลงทุนสินทรัพย์ลง เช่น รถปิคอัพ 1 คัน ใช้ไม่เคยเต็มที่เลย ขายทิ้งไปแล้วใช้รถร่วมกับชาวบ้าน จ่ายแพงนิดหนึ่งแต่ให้อยู่ในรูปของต้นทุนผันแปรดีกว่า

 

ที่มา  : http://www.nanosoft.co.th

           http://www.bloggang.com

หมายเลขบันทึก: 210567เขียนเมื่อ 21 กันยายน 2008 21:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 02:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ขอบคุณนะที่มาเยี่ยมชมเรื่องเงิน ๆ

  • หากมีเงินเหลือใช้ต้องนำไปฝากธนาคาร อย่าลืมบริหารให้ดีๆ นะครับ เนื่องจากมี พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.๒๕๕๑ ออกมาบังคับใช้แล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีสาระดังนี้
  • สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดวงเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครอง ตามจำนวนที่ฝากไว้จริงแต่ไม่เกิน ๑ ล้านบาท ต่อ ๑ รายผู้ฝาก ต่อ ๑ สถาบันการเงิน โดยรวมทุกบัญชีเงินฝาก อย่างไรก็ตามในระยะแรกได้มีข้อกำหนดให้ทยอยลดการคุ้มครองเงินฝากเพื่อให้ผู้ฝากเงินและสถาบันการเงินมีเวลาปรับตัว กล่าวคือ
  • ปีที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ จะยังได้รับความคุ้มครองเต็มจำนวนตามที่ฝากจริง
  • ปีที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ คุ้มครองเงินฝากไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท
  • ปีที่ ๓ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ คุ้มครองเงินฝากไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท
  • ปีที่ ๔ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ คุ้มครองเงินฝากไม่เกิน ๑๐ ล้านบาท
  • ปีที่ ๕ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป กฎหมายให้ความคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน ๑ ล้านบาท
  • หลักเกณฑ์ดังกล่าวทำให้ผู้ฝากเงินได้มีเวลาในการบริหารจัดการบัญชีเงินฝากของตนเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยผู้มีเงินฝากมากกว่า ๑ ล้านบาท หรือมีอยู่หลายบัญชีในธนาคารเดียวกันอาจจะต้องกระจายไปฝากไว้ในหลายธนาคาร เพราะกฎหมายคุ้มครองเต็มที่ไม่เกิน ๑ ล้านบาท ต่อผู้ฝาก ๑ ราย ต่อ ๑ สถาบันการเงิน

ขอบคุณค่ะสำหรับความรู้ที่เพิ่มเติมให้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท