จากบันทึกเรื่องการจัดการเรื่องเวลา... โดยพี่บัวมาจูงมือไปร่วมแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต่อกัน ข้าพเจ้ามาพิจารณาว่ามาถอดบทเรียนสำหรับตนเองและบันทึกเก็บไว้ดีกว่า หากว่า ณ วันหนึ่งอาจจะพอมีประโยชน์ต่อร่องรอยที่หลงเหลือนี้อยู่
เมื่อมองย้อนกลับไปทบทวนตนเองที่ผ่านมาของการดำเนินชีวิต ข้าพเจ้าไม่ค่อยประสบกับสภาวะความล้มเหลวทางเวลา เพราะค่อนข้างเป็นคนใช้เวลาที่คุ้มค่ามาก ยิ่งในระยะหลังที่ฝึกในเรื่องมรณนุสติ ยิ่งทำให้ตระหนักยิ่งขึ้นว่า “เวลาที่มีอยู่ ณ ขณะนี้ช่างเหลือน้อยเหลือเกิน และเป็นห้วงเวลาที่มีค่ามาก” ... ทุกขณะจิตที่ข้าพเจ้าปฏิบัติ และสัมผัสสัมพันธ์กัน และเกิดประโยชน์หรือคุณค่า ข้าพเจ้าจะไม่รีรอที่จะลงมือทำ จะไม่มีผลัดวันประกันพรุ่ง...
ในแต่ละอย่างในแต่ละกิจกรรม... จะมาพิจารณาก่อนว่าสิ่งไหนสำคัญ สิ่งไหนเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด ก็ดำเนินสิ่งนั้นทันที ไม่รอ
ในแต่ละวันจะมาพิจารณาก่อนว่ามีงานหรือกิจอะไรบ้าง และสิ่งไหนทำตอนไหน และอย่างไร จากนั้นก็ลงมือทำ หากว่ามีงานจรเข้ามาที่นอกเหนือจากแผนของเรา หากเร่งด่วนก็ลงมือทำ หากรอได้ก็วางก่อน ก็นำพาตนเองไปจดจ่อกับงานที่อยู่ตรงหน้า
ในการทำงานที่มีสมาธิจดจ่อในงาน ค่อนข้างจะทำให้ได้งานเยอะมาก ...
ข้าพเจ้ามักฝึกตนเองทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กันในห่วงเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน อาศัยหลักของการมีสมาธิแห่งความจดจ่อในสิ่งที่ทำนั้น เมื่อออกจากงานนี้ก็สามารถดำเนินต่อเนื่องได้เลยในงานใหม่ .. เป็นเรื่องของความฝึกฝนและความเชื่อในศักยภาพของความเป็นมนุษย์... เพราะหากเราคิดว่าเราทำไม่ได้ มันก็จะทำไม่ได้ หากแต่เราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็เต็มที่กับการทำสิ่งนั้น จนสุดความสามารถ เมื่อทำแล้วเราก็ได้คำตอบต่อตนเองว่า ทำได้เพียงแค่นี้เอง แล้วก็จะวางลง...
ขณะที่ทำงาน ก็ฝึกตนเองให้ผ่อนคลายไปในตัว แล้วจะไม่รู้สึกว่ากำลังเคร่งเครียด โดยส่วนใหญ่ที่เราทำงานแล้วมีอาการปวดเมื่อย เบื่อหน่ายในงาน เพราะเราทำงานด้วยความเคร่งเครียด ไม่ได้ทำงานด้วยความเบิกบานใจ หากว่าได้ทำงานด้วยความเบิกบานใจเราก็จะไม่รู้สึกเบื่อในงาน เกิดเป็นความสุขในการทำงาน
หากทำงานที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างมีความสุข... ผ่อนคลาย
งานก็เสร็จลุล่วงไปได้ และถึงแม้ว่าไม่เสร็จ... เราก็สามารถวางลงไว้ก่อนได้ และกลับมาทำได้อีกอย่างเป็นผู้มีพลัง
ข้าพเจ้ามองว่า...
สิ่งสำคัญ... คือ สมาธิ เมื่อเรามีสมาธิ เราก็จะมีศักยภาพในการจัดการต่องานได้ค่อนข้างดี แม้งานจะมีมากขนาดไหนก็ทำไปได้ เพราะการทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ภาระอันหนักอึ้ง...เพราะหนักอึ้งเมื่อไร เมื่อนั้นก็เกิดเป็นความเคร่งเครียด เคร่งเครียดเมื่อไรเมื่อนั้นก็นำไปสู่ความเจ็บป่วยทางกายเกิดขึ้นนั่นเอง
------------------------------
สวัสดีครับคุณ KA POOM
เก่งจังเลย ทำหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน
เหมือนนักดนตรี ตีกลอง
เคยลองหัด ใช้เท้าเขียนวงกลมไปขวา
ใช้มือเขียนหนังสือไปซ้าย
จนวันนี้ยังไม่ได้
สมองไม่ทันการ
การจะทำอะไร ให้สำเร็จ
ให้คิดว่า ทุกอย่าง เราทำได้
แล้วก็กำหนดว่า จะต้องทำเสร็จตอนไหน
เริ่มลงมือทำ ตามเวลาที่กำหนด
เราก็จะทำทุกอย่างได้ค่ะ
ขอบคุณที่แบ่งปัน ค่ะ
สวัสดีค่ะ
- ตอนนี้คงนอนหลับนะจ๊ะ เพื่อสุขภาพ ..แหม...น่าอิจฉาจัง
ส่วนเราต้องนั่งทำบุญกับคนไข้ ...ได้บาปและบุญปนกันไป....
เห็นด้วยที่สุดว่า การทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ภาระอันหนักอึ้ง...ค่ะ
ขอบคุณทุกท่านนะคะ...
(^___^)