<!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} -->
จิตใต้สำนึก
จิตใต้สำนึก คือ อะไร ?
ในทางด้านจิตวิทยา จิตศาสตร์ได้มีการศึกษาค้นคว้าในเรื่องของ “จิตใต้สำนึก” นี้กันอย่างมากมาย แต่ก็เป็นเสมือนกับการงมอยู่ในที่มืด เพราะให้ความ สำคัญกับคำว่า“จิต”ผิดเพี้ยนไปตั้งแต่ต้น
จิต เป็นภาษาบาลีหรือภาษามคธ ซึ่งแปลว่า “ความคิด”
แต่ด้วยความเชื่อความเข้าใจผิดๆ ด้วยความรู้สึกว่า มันต้องมีอะไรลึกซึ้งมากกว่านั้นลึกลับหรือเปี่ยมอำนาจคุณวิเศษหรือเรียกว่าความขลังอะไรต่างๆทำนองนี้ จึงทำให้ต้องงมอยู่ในความมืดต่อไปอย่างงมงาย
จิตใต้สำนึก ก็คือ ความคิด ความเชื่อ ที่ถูกกดข่มไว้
จิตใต้สำนึก ก็คือ ความเชื่อลึกๆ ภายในใจของคนแต่ละคน ซึ่งไม่สามารถจะอธิบายให้คนอื่นหรือกระทั่งตนเองให้เข้าใจได้ เป็นความเชื่อที่เหนือเหตุผลของผู้ที่เชื่อเอง แต่เพราะเกรงว่าผู้อื่นจะไม่ยอมรับหรือแม้แต่ตนเองจะยอมรับได้ จึงได้พยายามเก็บกดเอาไว้ในใจของตน โดยผู้นั้นก็พยายามที่จะหาเหตุผลกลบเกลื่อนมันไป
ตัวอย่างเช่น ความเชื่อในเรื่องผีสางนางไม้ของคนหัวสมัยใหม่ แม้ปากจะบอกว่าไม่เชื่อ และบางคนยังอ้างเหตุผลต่างๆนาๆทางด้านวิทยาศาสตร์มากลบเกลื่อนความเชื่อในใจของตนเอง แต่ลึกๆในใจก็ยังแอบเชื่อ ทั้งๆที่ปากกับใจมันปฏิเสธความเชื่อนั้น แต่เมื่ออยู่ในที่มืดหรือในสถานที่ที่มีบรรยากาศเป็นไปตามปัจจัยที่เราเชื่อ เราก็จะเกิดกลัวขึ้นมาโดยหาสาเหตุหรือเหตุ ผลให้กับตัวเองไม่ได้
ในทางตรงกันข้าม มีบางคนซึ่งทั้งการกระทำและคำพูดต่างๆกระทั่งใจ มีเชื่อในเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด กฎแห่งกรรม นรก สวรรค์ ต่างๆ แต่ลึกๆในใจกลับมีความขัดแย้งกับความเชื่อนั้น ทั้งที่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้กลัวมันเหลือเกิน แต่เขาก็ยังสามารถกระทำความชั่วได้ ซึ่งถ้าหากเขาเชื่อในเรื่องของผีหรือวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วนั้นจริงๆ ก็เป็นการแสดงโดยปริยายอยู่แล้วถึงความเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด การที่มีการเกิดขึ้นอีกหลังความตาย แต่เขายังสามารถทำชั่วได้ โดยไม่กลัวถึงโทษทัณฑ์ต่างๆนาๆในนรก ซึ่งแสนจะกลัวน่าสยดสยองขวัญ ที่เป็นเช่นนี้ได้ ก็เพราะ ในใจของคนๆนั้นเอง แอบไม่เชื่อเรื่องนั้น
จิตใต้สำนึก ความคิดความเชื่อที่ถูกกดข่มเอาไว้เหล่านั้น มันจะแสดงออกในยามที่คนๆนั้นเผลอตัวไม่มีสติ จึงไม่สามารถกดข่มความคิดความเชื่อที่พยายามกดข่มเอาไว้ได้ เช่น ในยามที่นอนหลับ ภาพฝันต่างๆในความฝันนั้น สามารถบอก ให้เราทราบได้ว่า ลึกๆในใจของคนๆนั้นมีความเชื่ออย่างไร
กระทั่งในการปฏิบัติสมาธิในลักษณะของฌานกสิณ ที่ผู้ปฏิบัติปฏิบัติผิดวิธี หรือปฏิบัติด้วยความงมงายหรือมีความเชื่อไปตามคำพูดคำบอกเล่าของผู้แนะนำ ที่พูดเกริ่นนำไปก่อนหรือจากการศึกษาด้วยตนเองมาก่อน จนกลายเป็นการสะกดจิตตนเอง ให้เห็นไปตามความเชื่อหรือจิตใต้สำนึกในใจของตน โดยที่เจ้าตัวเองก็ปฏิเสธว่าไม่ได้คิดไม่ได้พยายามเพ่งให้เห็นแบบนั้น แต่ความจริงแล้ว มันเป็นเพียงภาพที่สร้างออกมาจากมโนภาพ จากความเชื่อลึกๆในใจของคนๆนั้น นั่นเอง
กระทั่งเรื่องความรู้สึกที่ผิดเพศ ลักเพศต่างๆก็เช่นกัน คนมักเข้าใจว่าเกิดจากโฮโมนเพศหรืออื่นๆ แต่ความจริงแล้ว มันก็เกิดจากจากได้รับความรู้มี่ผิดๆมาตั้งแต่ยังเล็กๆ สั่งสมมา เช่นการเลี้ยงดูของครอบครัว หรือสังคมรอบข้าง หรืออาจจะเกิดจากความชอบหรืออคติต่อเพศของตนหรือเพศตรงข้าม ซึ่งสรุปแล้วล้วนเกิดจากจากความรู้ความเชื่อที่ผิดๆมาทั้งสิ้น ยกเว้นแต่ในกรณีที่เป็นลักเพศจากธรรมชาติจริงๆ นอกนั้นอาจจะถือได้ว่า เป็นผู้ป่วยทางจิตได้ทั้งสิ้น
แต่กระนั้นความเจ็บป่วยนั้นก็ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไรกับสังคม ยกเว้นแต่คนเหล่านั้น มักจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องทางเพศมากเกินไปกว่าคนปกติเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงเรื่องการเรื่องกามารมณ์ แต่หมายถึงให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการแต่งกายหรือความประพฤติที่พยายามผืนตนเองไปให้เหมือนกับเพศที่ตนต้องการจะเป็น เช่นผู้หญิงที่อยากจะเป็นผู้ชาย ก็มักทำตัวให้เจ้าชู้ หรือผู้ชายที่อยากจะเป็นหญิง ก็พยายามตกแต่งร่างกายให้เป็นผู้หญิง จนเกินขนาดไปจนกลายเป็นสิ่งประหลาดในสายตาคนปกติ (เป็นความขาดสติอย่างหนึ่ง)
แต่การได้ปลดปล่อยจิตใต้สำนึกออกมาได้ อย่างมีสติ ก็เป็นผลดีได้เช่นกัน คือ คนเหล่านี้ จะกล้าแสดงออก มีความมั่นใจในตนเอง ซึ่งคนปกติไม่ค่อยจะมี เพราะคนเหล่านี้ มีความได้เปรียบบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มีคือ มีความรู้เกี่ยวกับทั้งสองเพศได้ดี เช่น กระเทย ก็จะรู้ถึงความต้องการของผู้หญิงและรู้ถึงความต้องการของผู้ชายด้วย ดังนั้น จึงมักสามารถออกแบบผลงานเช่น เรื่องเครื่องแต่งกายแต่งหน้าของผู้ญิงให้ออกมาดูดีสำหรับผู้ชาย หรือทอม จะทำงานเกี่ยวกับผู้ชายให้ออกมาดีในสายตาผู้หญิงเป็นต้น จนในปัจจุบันนี้ เราจะเห็นคนกลุ่มนี้มีบทบาทในวงการต่างๆมากขึ้นตามลำดับ หากเขาเหล่านั้น สามารถจะพ้นออกเสียจากความหมกมุ่นในเรื่องของเพศ แต่นั่นก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน
เพราะเขาจะขาดคู่หรือเพื่อนแท้ ที่เขาจะสามารถพึ่งพิงทางใจในลักษณะของคู่สามีภรรยาไปจนตาย(เขาไม่เชื่อว่า จะมีใครรักเขาจริง) จึงทำให้เขาต้องขวนขวาย ไปแสวงหาที่พึ่งพิงทางใจ ให้พ้นจากกลัว โดยหาเอาจากประสบความสำเร็จในด้านอื่นๆแทน
ไม่มีความเห็น