ช่วงนี้มีภาระงานในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ติดตามพื้นที่ที่จัดสวัสดิการสังคมในรูปแบบต่าง ๆ หลายวันมานี้เห็นภาพความคิดของ “ผู้จัดสวัสดิการ” ให้แก่สมาชิกในพื้นที่ของตนเป็นภาพของกองทุนสวัสดิการชุมชน ให้สมาชิกมีส่วนร่วมกับกองทุนโดยการนำเงินมาออม จำนวนขึ้นอยู่กับแนวคิดของแต่ละกองทุนที่แตกต่างกันไป เท่าที่พบเป็นแนวคิดสัจจะลดรายจ่ายวันละ 1 บาท สัจจะสะสมทรัพย์ อีกภาพคือการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้แก้ปัญหาในองค์กร
วันนี้ได้แวะไปติดตามกิจกรรมที่โรงเรียนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง มีบริเวณติดกับวัดและอยู่ติดแม่น้ำ ด้านหลังโรงเรียนเป็นบ้านเรือนและแปลงนาข้าว สวนแก้วมังกรสลับกันไป คุณครูเล่าให้ฟังถึงสภาพโรงเรียน มีนักเรียนตั้งแต่ชั้น ป 1 ถึง ป 6 รวมทั้งหมด 40 คน มีคุณครูจำนวน 5 คน ตกใจว่าทำไมมีนักเรียนน้อยมาก คุณครูบอกว่า “นี่เป็นจำนวนทั้งหมดของเด็กวัยประถมละแวกนี้ เดี๋ยวนี้จำนวนเด็กลดลงเรื่อย ๆ” ทำให้นึกไปถึงสังคมชราภาพของประเทศไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าที่นักวิชาการได้พูดถึง
เมื่อเดือนก่อนได้ฟังนักวิชาการแสดงความคิดเห็นถึงทิศทางการดูแลผู้สูงอายุไทยควรเป็นอย่างไร ระบบบำนาญอาจไม่สามารถครอบคลุมผู้สูงอายุทั้งหมดได้ และที่สำคัญผู้สูงอายุไม่ได้ต้องการเพียงเงินยังชีพแต่ต้องการการดูแลเอาใจใส่จากลูกหลานมากกว่าสิ่งอื่น
ตอนนั่งรถออกจากโรงเรียนคิดเล่น ๆ ว่าในฐานะที่ตัวเองก็ต้องเป็นผู้ชราอย่างโดดเดี่ยวแน่ ไม่มีลูกหลาน มีเพียงญาติพี่น้องและเพื่อนที่ต่างแก่ชราไร้ลูกหลานเช่นกัน ทำให้ลองนึกภาพของผู้ชราในยุคเราตอนนั้น อีกประมาณ 30-40 ปีข้างหน้า คาดคะเนเล่น ๆ(ดูตัวเองและคนรอบข้าง)คิดว่าคงไม่มีปัญหาเรื่องเงินเพราะส่วนมากตอนนี้เป็นผู้ที่มีงานทำ มีรายได้มั่นคง ในตอนนั้นคงเป็นผู้ชราที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ภูมิปัญญาในสายงานของตนอย่างเต็มเปี่ยม น่าจะเป็นปัญหาด้านสุขภาพเพียงอย่างเดียว สังคมจะดูแลผู้ชรากลุ่มแบบนี้อย่างไร หรือจะใช้ประโยชน์จากสังคมผู้ชราที่มีคุณลักษณะแบบนี้อย่างไร? (ยังไม่ได้ลองนึกภาพผู้ชราของยุคนั้นที่เป็นลักษณะอื่นๆ)
สวัสดี น้องรัช
น้องรัชทำงานสวัสดิการมากไปหม้าย เพราะประเด็นสวัสดิการทั้งคนจัดและคนรับ ล้วนแล้ว เป็นสว เสียส่วนมาก ทำให้น้องรัชคิดเข้าชมรม "กล้วยไม้" ด้วยมั้ง ฮา ฮา ฮา
มาพัทลุง แวะมากินข้าว สังข์หยด ทีปากพะยูนบ้างน่ะ ไม่ได้ ทะ ทีม อ. ภีม นานแล้ว
คิดถึงทุกคน
สวัสดีค่ะน้องรัช
ไม่ได้ส่งเสียงทักทาย ได้อ่านบล็อกก็ยังดี :)
น้องรัช "คิดการณ์ไกล" ทำให้ต้องจินตนาการภาพ "ป้ารัช" อีก 30 ปีข้างหน้าตามไปด้วย :)
การคิดเตรียมการ ณ วันนี้ก็ดีค่ะ ถือว่าไม่ประมาท แต่ส่วนบุคคลก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า "ออม" ไปตามอัตภาพ
ท่านพุทธทาสเคยเขียนไว้ทำนองว่า ไม่ต้องกังวลอะไรมาก เพราะนี่คือชีวิต
คิดว่า..ในยามที่ไม่มีลูกหลาน (หรือมีลูกหลานแต่ไม่ได้หวังการพึ่งพา) "ออมความดี" น่าจะดีที่สุด เพราะคนดีย่อมมีเพื่อน เคยคุยกับเพื่อนญี่ปุ่น เขาเชื่อว่า ถ้ามีเพื่อน มีสังคมที่เอื้ออาทร ต่อให้ไม่มีเงินก็พออยู่ได้ (คิดถึงลุงเรือง)
สรุปว่า สะสมความดีและออมเงินตามอัตภาพ ก็เป็นหลักประกันชีวิตในระดับหนึ่งแล้วค่ะ
ต้องยกตัวอย่างเรื่องเดิม คือ คนแก่มีเงินแต่ต้องซื้อหุ่นยนต์มาป้อนข้าว... นั่นเป็นจินตนาการสังคมคนชราของนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นค่ะ
รักษาสุขภาพและเจอกันในเร็ววันนี้นะคะ
ปล. ที่โรงเรียนมีนักเรียนน้อย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเด็กๆหนีเข้าเมือง ตอนไปนอนที่วัดป่ายาง เมืองนครฯ ตอนเช้าไปเดินเล่นดูโรงเรียนใกล้วัดก็สถานการณ์คล้ายๆกัน ยังคิดเล่นๆว่า ถ้าเราไปเป็นครูที่นั่น แล้วถ้าสามารถพัฒนาให้เป็นโรงเรียนในฝันได้จริงๆ จะ "ดึง"เด็กเอาไว้ได้ไหม อย่างไร
น้องรัช แวะเข้ามาทักทายค่ะ ไม่ได้เจอเสียนานสบายดีมั้ยคะ แล้วค่อยเจอกันในงานมหกรรมจัดการความรู้เหมือนคอน ที่วิทยาลัยเทคนิคปลายเดือนนี้นะคะ