งานวิจับส่วนใหญ่จะใช้สัตว์ทดลอง แต่หลายๆคน คงเคยอ่านเรื่องที่ นักวิจัยโดยเฉพาะเกี่ยวข้องทางการแพทย์ ทดลองกับตัวเองเลย เช่น นักไวรัสวิทยาชาวรัสเซียอยากรู้ว่า ไวรัสตับอักเสบ-อี แพร่ติดต่อทางไหน เลยเอาน้ำที่กรองจากอึ(เขียนไม่ผิดหรอก)ผู้ป่วยมาซดซะ สมใจกับความอยากรู้ เขาเป็นโรคตับอักเสบ-อี (โชคดี ที่ไวรัสนี้มีอัตราตายต่ำเพียง 0.5-3% และเขาไม่เป็นไร ก็รวบรวมไวรัสที่ขับออกมากับอึของเขาไป ศึกษาต่อ) หรือ ดร. ริเค็ทส์ (H.T. Ricketts) ทดลองฉีดเชื้อเข้าตัวเองเพื่อวัดความรุนแรงของเชื้อ ต่อมาเขาสามารถแยกเชื้อก่อไทฟัสได้ และไม่นานเขาก็เสียชีวิตจากโรคไทฟัส!
แต่คุณเชื่อไหมว่า การทดลองกับตัวเองยังมีอีก (ไม่ต้องสงสัยไม่ใช่ผมแน่) ก็คือเรื่องของ Cyborg (อ่ะ เป็นข้อมูลเพื่อรู้ อย่านำไปทดลองเอง เฉพาะผู้ชำนาญเท่านั้น Don't try it at home. It could result in death!)
ทีมวิจัย นำโดย ศ. วอริค (Prof. K. Warwick, U. of Reading, UK)
• ฝังแผ่นชิพคอมพิวเตอร์ ลงที่เส้นประสาทที่แขน
• มันรับสัญญาณเคมี-ไฟฟ้าจากสมอง แล้วส่งต่อไปคอมพิวเตอร์ข้างนอก
• คอมพิวเตอร์ ก็สามารถส่งสัญญาณเข้าสู่อุปกรณ์ที่ฝังนี้ได้ ซึ่งกลับกันสัญญาณจะส่งไปตามเส้นประสาทกลับสู่สมอง (ทำนองเดียวกับที่เกิดสัญญาณเมื่อเอามือไปจับอะไร สัญญาณที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่สมอง)
• การทดลอง ต่อคอมพิวเตอร์นั้นกับเครื่องตรวจหาเสียง อัลตร้าซาวน์ (เสียงช่วงความถี่นี้ สัตว์บางชนิดเท่านั้นที่มีประสาทรับ เช่น ค้างคาว) สัญญาณจากเครื่องตรวจนี้ ส่งผ่านคอมพิวเตอร์ ไปยังชิพที่ฝัง ซึ่งจะส่งไปตามเส้นประสาท ขึ้นสู่สมอง เขาจะรับรู้การเคลื่อนของวัตถุเข้าหาตัวทันที แม้ว่าจะใช้ผ้าปิดตาไม่ให้เห็นการทดลอง
• สมองปรับตัวได้ดี และพยายามแปลสัญญาณที่เข้ามา
• เมื่อต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ต เขาสามารถควบคุม มือหุ่นยนต์ที่ต่ออยู่กับเครื่องที่นิวยอร์ค ขณะที่ตัวเขาอยู่ที่อังกฤษ (มือหุ่นยนต์ ก็ทำทุกอย่าง เหมือนที่มือจริงๆ กำลังทำอยู่)
เพิ่มเติม
• ภรรยาเขาฝังแผ่นชิพ นี้ด้วย โดยผ่านคอมพิวเตอร์ ระบบประสาทของเขา และของภรรยาติดต่อกันโดยตรง (ดังนั้น ระยะทางไม่เป็นปัญหา ตราบเท่าที่มีอินเตอร์เน็ต) คือสมองเขาสามารถรับรู้เลยว่ามีสัญญาณส่งจากระบบประสาทของแฟนของเขา เขาว่าอนาคตอาจไม่จำเป็นต้องพูด (ส่งข้อมูล แบบไดเร็กเลย)
• ขั้นต่อไป คือฝังชิพที่สมอง (มีใช้แล้วสำหรับ พาร์กินสัน) แต่ที่เขาคิด คือ ต่อเชื่อมสมอง เข้ากับอินเตอร์เน็ต จะนำไปสู่คำตอบของคำถามว่าจะความคิดของแต่ละคนจะส่งถึงกันจากสมองหนึ่งสู่สมองหนึ่งผ่านอินเตอร์เน็ตได้ไหม
ชมภาพ คลิกที่นี่
Cyborg (Cybernetic Organism)
คำนี้ใช้ครั้งแรก ปี ค.ศ.1960
คือ สิ่งมีชีวิตที่มีทั้งระบบที่ธรรมชาติ และระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งมักหมายถึง คนที่ใช้เทคโนโลยี cybernetic มาซ่อมแซม หรือทำให้ความสามารถเหนือขีดจำกัดทางร่างกายและจิตใจ
อาจหมายถึงผู้ที่ใส่เครื่องกำเนิดจังหวะเต้นของหัวใจ (pacemaker) หรือปั้มอินสูลิน (insulin pump)
ทางการแพทย์ อาจแบ่งไซบอร์ก เป็น 2 ชนิด คือแบบที่ทำให้คนนั้นกลับมีส่วนของร่างกาย อวัยวะและการทำงานที่หายไป กลับคืนมา (Restorative cyborg) และแบบที่ทำให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น คือเพิ่มผลลัพธ์และลดพลังงานที่รับเข้า (Enhanced cyborg)
ตัวอย่าง นาย ซัลลิแวน (Jesse Sullivan, Tennessee, 54ปี) ซึ่งสูญเสียแขนสองข้างจากการทำงานพลาดไปจับสายไฟฟ้า ได้รับการต่อแขนเทียมสองข้าง แล้วเขาสามารถใช้สมองสั่งการทำงานของแขนเทียมได้ (มักใช้คำว่า Bionic นำหน้า เช่น bionic arm และ bionic woman)
คลิก http://en.wikipedia.org/wiki/Cyborg
ดังนั้น จะต้องมีการวิจัยและพัฒนา ชิพคอมพิวเตอร์สำหรับฝัง เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาได้ยินอีกครั้ง (กรณีที่ประสาทหูยังดีอยู่ แต่ที่หูซึ่งเป็นอวัยวะรับฟังเสีย) หรือทำให้กลับมาเห็นอีกครั้ง ด้วยชิพที่ฝัง และส่งสัญญาณไปยังกล้องดิจิตอล