วันนี้ได้มาเรียนรู้กรณีการเผชิญหน้าของกลุ่มคนภายในสังคมเรา คนส่วนใหญ่ยังเงียบอยู่คล้ายกับเรายอมจำนนมีพื้นที่ย่อยๆ ของกลุ่มเล็กๆ ที่ยังไม่เห็นว่าจะขยายออกไปอย่างรวดเร็วได้อย่างไร......"คนไทยโดยเฉพาะผู้นำเราฟังคนรอบข้างแต่ไม่ได้ยิน" .......รศ.ดร.สมาน งามสนิท
กัลยาณมิตรของผมหลายคนมาชวนให้ไปเป็นผู้ฟัง ของพี่น้องคนไทยที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน และต้องไปฝึกหัดฟังอาทิตย์ตรงนี้แหละครับที่อยากสำหรับผม โดยเฉพาะในช่วงนี้ต้องหาเวลาอยู่บ้านกับครอบครัวที่ลูกชายกำลังเข้าสู่วัยรุ่น พร้อมทั้งพาไปที่ต่างต่างๆที่เขาชวนไป
ช่วงเวลาที่ผ่านมาได้ไปนำพาการเรียนรู้หลายจังหวัดส่วนใหญ่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ได้มีโอกาสไปนั่งฟังคุณหมอ คุณพยาบาล เภสัช เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลหลายคนพูดว่าในการทำงานผู้ใหญ่ก็มักจะไม่ฟังเด็กๆที่จบใหม่จึงทำให้ไม่สามารถเข้าถึงความรู้สึก และความต้องการของผู้คนได้ ผมก็ชวนให้เขามาฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง ผ่านการพูดคุยตามแบบของสุนทรียสนทนา(dialogue)ที่คนมีความเข้าใจรับรู้ในความรู้สึกของคู่สนทนา
"ผมอยากให้พี่ ลุงๆ ป้าๆ ฟังผมแบบนี้บ้างในโรงพยาบาล และผมจะทำงานมีความสุขยิ่งขึ้น" เป็นคำพูดของหมอท่านหนึ่งที่พึ่งมาทำงานที่โรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดยโสธร ที่ผมและทีมได้สร้างกระบวนการเรียนรู้เรื่องการฟังโดยใช้ทฤษฎียู ที่ผมเขียนไว้ในการนำพาการเรียนรู้............
มีใครรู้ไหมหนอว่า หมอ พยาบาล เภสัช เจ้าหน้าในโรงพยาบาลเราก็มีทุกข์? ผมเลยชวนให้หมอและทีมงาน รวมถึงผู้ป่วยและญาตทำ dialogue
ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ หากหมอ ทีมงาน ผู้ป่วยและญาติทำ dialogue สิ่งที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นก็ คือเราจะเห็นความทุกข์ ความรู้สึกของผู้ป่วยมากขึ้น บางเรื่องเราไม่เคยได้ยินมาก่อน
"ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหมอไม่เคยทานข้าวตรงเวลาเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี้ หมอก็มีความทุกข์ไม่น้อยกว่าพวกเราเลย"
ประสบการณ์ที่ได้จากการณ์ทำ dialogue ครับ และความเกื้อกูลเกิดขึ้นมากในระบบบริการสุขภาพของเรา
เวลาเราอยู่กับใครหรือได้คุยกันในวงสนทนา ลองทบทวนดูนะครับว่าเราฟังเขาอย่างหมดใจหรือไม่ การฟังถึงแม้ว่าเราจะมีประสบการณ์มาตั้งแต่เกิดแล้วก็ตาม ไม่ง่ายเลยครับที่เราจะรับฟังอย่างจริงจังและได้รับรู้ในความคิด รวมถึงความรู้สึกของเขา หากเราไม่สามารถก้าวพ้นตรงนี้ได้ไป เป็นการยากที่เราจะเห็นความต้องการของเขาโดยเฉพาะผู้ป่วยและญาติของเรา