รูปแบบการนิเทศ


กิจกรรมนิเทศการศึกษา

รูปแบบของการนิเทศ

กิจกรรมการนิเทศการศึกษา (Ben M.Harris, 1963)

 


1. การระดมสมอง (Brainstorming)

            เป็นกิจกรรมการประชุมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการรวมเอากำลังความคิดระดมสมองร่วมกัน บุคคลที่เข้าประชุมควรจะเป็นผู้มีความรู้และใจกว้างพอที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยลักษณะของกลุ่มที่ประชุมอาจเป็นกลุ่มใหญ่หรือเล็กก็ได้ คุณภาพของความคิดขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของบุคคลผู้เข่าร่วมกลุ่ม ความคิดจะต้องได้รับการพิจารณาร่วมกัน ซึ่งจะเป็นที่ยอมรับของกลุ่มหรือไม่ก็ตาม แต่จะไม่มีการตัดสินว่าถูกหรือผิด วิธีการประชุมแบบนี้จะได้ประสบการณ์น้อย เพราะเป็นการประชุมลึกลงไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ผู้เข้าร่วมประชุมจะได้รับความรู้จากการประชุม

 

2. การประชุม 6-6 (Buzz Session)

            เป็นการประชุมอีกแบบหนึ่งที่ไม่มีพิธีรีตรองมากนัก แต่เดิมกำหนดว่ากลุ่มละ 6 คน ใน 6 นาที แต่ปัจจุบันนี้การจัดการประชุมแบบนี้แล้วแต่ปริมาณที่เข้าร่วมกลุ่ม แต่ไม่ควรเป็นกลุ่มใหญ่นัก เวลาที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับผู้เข้าร่วมประชุม เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้พูดโดยไม่มีการจำกัด ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ จุดมุ่งหมายสำคัญคือ ต้องการให้ทุกคนในกลุ่มได้มีการปะทะสังสรรค์กันมากกที่สุด การประชุมอาจมีการจัดประธาน เลขา สำหรับดำเนินการหรือไม่ก็ได้ วิธีการนี้ได้ประสบการณ์มากกว่าการะดมสมอง ทั้งนี้เนื่องจากว่าไม่มีการจำกัด ใครพูดเรื่องอะไรก็ได้ จึงทำให้ได้ประสบการณ์กว้างขึ้น แต่การประชุมแบบนี้จะไม่มีกาตัดสินใจว่าความคิดใครถูกหรือผิด เช่นเดียวกับการระดมสมอง

 

3. คณะกรรมการ (Committee)

            หมายถึงกลุ่มเล็ก ๆ ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะ และวัตถุประสงค์นี้ไม่ใช่เพื่อตัวคณะกรรมการเอง ซึ่งก็หมายถึงว่า คำว่าคณะกรรมการมีความหมายแตกต่างไปจากการอภิปรายหรือกลุ่มเยียวยา (Therapy Group) ซึ่งมีความหมายของมันก็คือ เพื่อการตอบสนองสำหรับตนเอง คณะกรรมการจะมีความเกี่ยวกันกับการประชุมกลุ่มใหญ่ ซึ่งจะต้องมีอนุกรรมการในการตีปัญหาให้แตกหรือโครงการต่าง ๆ โดยเหตุที่มีลักษณะค่อนข้างเฉพาะนี่เองเป้าประสงค์(ภารกิจ)ที่ได้รับมอบหมายจึงมีลักษณะโครงสร้างที่ค่อนข้างจะเป็นพิธีการมากกว่ากลุ่มอื่น

                งานใด ๆ อาจจะเป็นการดำเนินการโดยคณะกรรมการ เช่น การคัดเลือกวัสดุ การกลั่นกรอง พิจารณาเลือกสมาชิกใหม่ในหน่วยงาน การร่างนโยบาย และคณะกรรมการกำหนดสเปคของเครื่องมือ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้คณะกรรมการการประชุมแต่ละกรณี สำหรับนักเรียนในชั้นพิเศษที่ได้รับมอบหมาย อาจจะดำเนินการโดยนักจิตวิทยาหรือคนอื่นที่เกี่ยวกับปัญหาพิเศษของนักเรียนคนนั้นที่คณะกรรมการมอบหมาย

                ตราบที่กิจกรรมของคณะกรรมการถูกนำไปใช้ในกรณีที่ต้องการการตัดสินใจโดยอาศัยความคิดเห็นของกลุ่ม จะช่วยให้เกิดการประสานงานและร่วมมือกันปฏิบัติงาน แต่ขณะเดียวกันก็จะมีข้อเสียหายเช่นกัน การใช้คณะกรรมการอาจทำให้เกิดการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย หรือการตัดสินใจต่าง ๆ ที่เคยมุ่งหวัง จะกระทำให้ได้ดีขึ้นนั้น อาจกลับกลายเป็นเลวลงหรือบางครั้งการใช้คณะกรรมการมักจะก่อให้เกิดการล่าช้าในการตัดสินใจ และบางครั้งก็กลายเป็นข้อยุติไม่ได้ เพราะการถกเถียงที่บานปลายและขัดแย้งกันโดยหาเหตุผลไม่ได้

 

4. การสาธิต(Demonstration)

            การสาธิตเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการนำเหตุการณ์ที่จัดเรียงลำดับไว้แล้ว มาเสนอต่อกลุ่มเพื่อให้ผู้นั้นสังเกตการสาธิตมีลักษณะที่เป็นจริง แต่โดยธรรมชาติมักจะเน้นด้านพฤติกรรมในการปฏิบัติ ซึ่งผู้สังเกตจำเป็นจะต้องดู กลุ่มจะเป็นขนาดใดก็ได้ แต่เวลาและการเตรียมตัวที่ใช้ในการสาธิต น่าจะใช้กลุ่มที่มีขนาดใหญ่พอสมควร

                การสาธิตนั้นไม่เพียงพอ แต่จะนำมาใช้กับความต้องการของผู้ที่สังเกตเท่านั้น ยังใช้ได้กับเรื่องความคิด วัสดุอุปกรณ์ ขั้นตอนของการดำเนินงาน หรือเทคนิคซึ่งสามารถสังเกตแล้วเกิดประโยชน์ ผู้ทำการสาธิตเลือกจากคนที่มีความชำนาญ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพจะถูกจัดการสาธิตเป็นอุดมคตินั้น จะมีการวางแผนด้วยรายละเอียด และมีการซับซ้อน ผู้สังเกตก็เตรียมสังเกตอย่างพินิจพิเคราะห์แนะนำในการสังเกตควรจะใช้ที่ต้องการให้ผู้สังเกตไม่เพียงแต่มองดูเท่านั้นแต่ต้องวิเคราะห์บันทึก หรือสังเกตอย่างจริงจัง กิจกรรมติดตามผลคือ ให้มีส่วนร่วมในการประทับใจ การวิเคราะห์บันทึกต่าง ๆ สรุปกฎเกณฑ์และการนำไปใช้

                การสาธิตจะมีประสิทธิภาพเมื่อทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะที่เรียนรู้แล้วกับความมุ่งหมายที่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ให้เป็นที่เข้าใจชัดเจนแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมหรือผู้สังเกต

 

5. การทดลองปฏิบัติการ (Laboratory)

            การทดลองเพื่อค้นคว้าหาข้อสรุปในบางเรื่องเป็นวิธีนิเทศอีกวิธีหนึ่งที่ผู้นิเทศและครูสามารถทำร่วมกันได้ เช่น การทดลองวิธีสอน ทดลองกิจกรรมในโรงเรียน ทดลองการใช้วัสดุอุปกรณ์และแบบเรียน ทดลองใช้ข้อทดสอบ ฯลฯ การทดลองเช่นนี้ เริ่มต้นที่ผู้นิเทศเป็นผู้เป็นผู้คิดและวางแผน แล้วทดลองร่วมกับครู โดยผู้นิเทศปฏิบัติร่วมกับครูเป็นประจำในระหว่างการทดลอง ครูในโรงเรียนนั้น ๆ ได้รับความรู้จากการทดลองเมื่อการทดลองนั้นสิ้นสุดลง ผู้นิเทศนำผลการทดลองไปเผยแพร่ นำผลการทดลองไปประยุกต์ใช้ เช่น ทดลองเรื่องการสอน คัดลายมือ และการสะกดคำในชั้นประถมศึกษาตอนต้น

 

6. การทดลองปฏิบัติจริง (Directed Practic)

            การทดลองปฏิบัติจริง รวมเอากิจกรรมทดลองของเอกตบุคคลไว้ โดยเป็นกิจกรรมที่เน้นการสัมภาษณ์มากกว่าการพูดคุยตามปกติ กิจกรรมเหล่านี้ไม่ค่อยจะเน้นในทางตำรา และจะอาศัยความชำนาญของศึกษานิเทศก์เป็นผู้นำในการปฏิบัติ โดยความจริงที่ว่า การทดลองปฏิบัติจริงจะต้องจัดดำเนินการจากตำรา การเตรียมแผนการสอน โดยอาศัยการแนะนำและจะไม่มีการบังคับบัญชาให้กระทำอย่างนี้อย่างนั้น

                การทดลองปฏิบัติจริง เหมาะสมที่จะนำไปใช้พัฒนาทักษะ และแก้ปัญหาของครูเป็นรายบุคคล การใช้อุปกรณ์การสอน เครื่องมือต่าง ๆ และเทคนิคต่าง ๆ จะเป็นแนวทางในกิจกรรมทดลองปฏิบัติจริง ข้อเสียของกิจกรรมนี้ก็คือ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง แต่ถ้าจะจัดให้ดำเนินการเป็นหมู่คณะ ค่าใช้จ่ายอาจจะลดลงได้ การสาธิต การประชุม อภิปราย ทัศนศึกษา ก็จัดกลุ่มได้แต่ก็ไม่ค่อยจะช่วยพัฒนาทักษะเท่าไรนัก สู้การแนะนำให้เป็นรายบุคคลไม่ได้ ประสบการณ์ตรงก็สามารถจะช่วยได้ แต่ก็หาโอกาสที่ดียากที่จะพัฒนา อย่างน้อยก็ให้มีประสิทธิภาพบ้าง ไม่ถึงกับล้มเหลวไปเลย

                การทดลองปฏิบัติจริงมักจะรวมเอา Workshop การเรียน การประชุมเจ้าไว้ด้วยแต่ส่วนใหญ่แล้วการทดลองปฏิบัติจริงจะใช้การแนะนำเป็นรายบุคคลเสียมากกว่า

 

7. การอภิปราย (Discussion)

            การที่คนกลุ่มหนึ่ง ที่มีความรู้ความสนใจในเรื่องเดียวกันหรือมีปัญหาในทำนองเดียวกันมาร่วมสนทนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน บางครั้งก็เป็นการพูดในหมู่ผู้ร่วมอภิปรายด้วยกันเอง แต่ในบางครั้งก็มีผู้ฟังอยู่ด้วย

                การอภิปรายนี้มีประวัติความเป็นมานานแล้ว  คือ ในสมัยโรมันประชาชนสนใจในเรื่องการพูดกันมาก มีการฝึกพูด ฝึกบรรยาย แสดงวาทศิลป์ในที่สาธารณะ ในโรงเรียนก็มีการสอนทางด้านการพูด และมีการจัดกิจกรรมพิเศษในทำนองชมรมนักพูดหรือนักปาฐกถาและโต้วาทีอีกด้วย ชาวโรมันทั่ว ๆ ไป สนใจในการแสวงหาความรู้ และการแสวงหาความรู้นั้น แสวงหาทั้งจากการอ่านการซักถาม และการอภิปรายต่าง ๆ เราจะพบว่าเป็นเรื่องประจำวันทีเดียวที่มีการอภิปรายหมู่ขึ้นตามตลาด ตามจัตุรัส และตามสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงโรม แม้แต่นักรบที่ได้รับชัยชนะจากข้าศึกมาแล้วแทนที่จะตรงกลับบ้าน กลับไปที่จัตุรัส เพราะ ณ ที่นั้นจะมีคนเป็นจำนวนมากไปรอฟังข่าวศึกและเตรียมซักถามเหล่าทหารหาญอยู่อย่างคับคั่ง

 

                ในสมัยกษัตริย์อาเธอร์ (Arthur) ของประเทศอังกฤษก็มีการอภิปรายแบบโต๊ะกลม (Round Table Discussion) ซึ่งเป็นที่ทราบกันอย่างแพร่หลายว่ากษัตริย์อาเธอร์และอัศวินของพระองค์ จะร่วมประชุมกันอยู่เสมอรอบโต๊ะกลมนั้น บรรยากาศจะดูเสมอภาคและเป็นกันเอง ทั้งนี้เพราะกษัตริย์อาเธอร์ต้องสร้างความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในหมู่อัศวินของพระองค์ไม่ต้องการให้ใครมีอำนาจเหนือใคร แม้แต่พระองค์ก็จะไม่ยอมอยู่หัวโต๊ะ ซึ่งเป็นการแสดงอิทธิพลเหนือบุคคลอื่น พระองค์จะประทับอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งรอบโต๊ะกลมนั้นเอง และการประชุมของพระองค์ในสมัยนั้นก็เป็นต้นฉบับของการอภิปรายแบบโต๊ะกลมในโอกาสต่อมา

                การอภิปรายแบบแพนแนล (Panel) และแบบซิมโพเซี่ยม (Symposium) เกิดขึ้นในอเมริกา ในศตวรรษที่ 15 นี้ สหรัฐเมริกามีผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ สาขาวิชาเพิ่มขึ้น การเผยแพร่วิชาความรู้เป็นไปอย่างแพร่หลาย เพราะฉะนั้นแทนที่จะใช้ผู้บรรยายเพียงผู้เดียว ใช้ผู้บรรยายหลาย ๆ คน มาร่วมแสดงความคิดเห็นในโอกาสเดียวกัน ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไป เพราะผู้ฟังได้มีโอกาสฟังผู้พูดซึ่งมีน้ำเสียงลีลาการพูด ตลอดจนแนวความคิดเห็นแตกต่างกัน ทำให้การอภิปรายมีรสชาติเข้มข้นขึ้น

 

8. การจัดนิทรรศการ (Exhibition)

                การจัดนิทรรศการจัดได้หลายรูปแบบ เป็นที่ยอมรับกันว่าการจัดนิทรรศการมีคุณค่าทางการศึกษาและธุรกิจเป็นอย่างมาก สำหรับการจัดนิทรรศการซึ่งเป็นเครื่องมือประกอบการประชุมขนาดใหญ่เป็นการยอมรับของบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น

                การจัดนิทรรศการทางการศึกษา เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง เพื่อแสดงกิจการของโรงเรียน กิจกรรมของนักศึกษา ทั้งนี้เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์โรงเรียนแก่สาธารณชน การจัดนี้มักใช้ชื่อว่า สัปดาห์สำหรับโรงเรียนมัธยมแบบกินนอน ราตรีการคืนสู่เหย้า (ราตรีการกลับคืนสู่วิทยาลัย) เป็นต้น

                การจัดนิทรรศการของห้องสมุดเป็นที่นิยมจัดกันมาก เพื่อแสดงหนังสือ เอกสารสำหรับบรรณารักษ์ ครู อาจารย์ นักศึกษา เป็นการจัดแบบ Inservice-Education

            การจัดนิทรรศการทางวิทยาศาสตร์ เป็นประโยชน์ทางการเรียนการสอน เป็นการกระตุ้นเตือนครูให้นึกถึงการวางโครงการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เกิดประโยชน์ทางการเรียนการสอนอย่างมากทีเดียว

                การจัดนิทรรศการเหมาะสำหรับการจัดการแสดงผลงานที่เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ เพราะจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงแก่งาน Inservice-Education การปฐมนิเทศ (Orientation) และการประชาสัมพันธ์ (Information)

 

9. การจัดทัศนศึกษา (Field Trip)

            หมายถึง การนำคณะครูไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ นอกชุมชน หรืออาจจะเป็นสถานศึกษาหรือแหล่งวิทยาการ ตลอดจนสถานประกอบการต่าง ๆ การไปทัศนศึกษาอาจจะเป็นการเพิ่มประสบการณ์ตรงให้กับครูมากที่สุด เพราะเป็นการเรียนรู้จากสภาพจริง ในการจัดทัศนศึกษาควรจะเป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่างครูกับผู้นิเทศ จะได้มีการวางแผนการจัดทัศนศึกษาร่วมกันและจะต้องมีการประเมินผลการไปทัศนศึกษาในแต่ละครั้งด้วย                                         

10. การนิเทศการสอนด้วยภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ (Film or T.V.)

            การนิเทศการสอนด้วยภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ หรือโสตทัศนูปกรณ์อื่น ๆ เป็นกิจกรรมที่ให้ผลเด่นชัดที่พึงกระทำให้บรรลุเป้าหมายในการนิเทศ ส่วนมากมักใช้ฟิล์ม 16 มม. เป็นเสียงในฟิล์ม ส่วนโทรทัศน์ที่ใช้วงจรปิดเพื่อการศึกษา กำลังเป็นที่นิยมใช้กันอย่างได้ผลดี

                การจัดกิจกรรมการนิเทศแบบนี้ เพื่อเป็นการบรรยายหลังจากใช้ภาพยนตร์ หรือโทรทัศน์แล้ว ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่ก็ให้แบ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ฟิล์ม 16 มม. นี้ มีคุณค่าพิเศษคือ ใช้ตอนใดก็ได้ อยากจะดูตอนใดซ้ำก็ได้ หรือจะหยุดฟิล์มก็ได้ หรืออยากหมุนฟิล์มกลับดูใหม่อีกครั้งก็ได้ การใช้ฟิล์มนี้ทำให้เกิดความคิดในการแก้ปัญหาได้

                ภาพยนตร์เงียบ ได้ถูกนำมาใช้ในชั้นเรียนของนักเรียนฝึกหัดครูเพื่อจะวินิจฉัยท่าทีของนักเรียนฝึกหัดครูที่มีต่อเด็ก เพื่อกระตุ้นให้ผู้ดูเกิดการอภิปราย การใช้โทรทัศน์เพื่อวัตถุประสงค์ในการนิเทศ มีแนวโน้มที่จะประสบผลสำเร็จได้ดี

 

 

 

11. ประสบการณ์ตรง (Firsthand Experience)

            ประสบการณ์ตรง หมายถึง กิจกรรมที่วางแผนไว้เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ปฏิบัติจริง มีความรับผิดชอบในสถานการณ์นั้น และสถานการณ์ต้องเป็นสถานการณ์จริงใจ

                ประสบการณ์ตรงสามารถนำไปใช้ได้หลายสาขาอาชีพ เช่น แพทย์ฝึกหัด การฝึกหัดนักเรียนครู ผู้บริหาร และการนิเทศการศึกษา ประสบการณ์ตรงสามารถลดความแตกต่างระหว่างครูประถมศึกษาและครูมัธยมศึกษาได้ใช้ทัศนคติ พฤติกรรมความเข้าใจ และทักษะได้ โดยวิธีให้ครูเหล่านั้นได้ร่วมกิจกรรมอันเดียวกัน และมีประสบการณ์ตรงในด้านการสอนหลายระดับ เช่น ครูระดับประถมศึกษา ได้เข้าร่วมในกิจกรรมการสอนในระดับมัธยมศึกษาด้วย

 

12. การเยียวยากลุ่ม (Therapy)

การเยียวยากลุ่ม เป็นกิจกรรมที่สามารถนำเอาหลักการและการปฏิบัติทางการ แนะนำมาใช้ในสถานการณ์กลุ่ม เนื่องจากการงานด้านการเยียวยากลุ่มสามารถช่วยให้ความรู้สึก ค่านิยมและแรงจูงใจของผู้เข้าร่วมกิจกรรมดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นกิจกรรมที่ยังไม่ได้รับการทดสอบอย่างกว้างขวางก็ตาม แต่ก็ได้ถูกนำมาใช้ในการนิเทศการศึกษามาก เมื่อนำเอาการเยียวยากลุ่มมาใช้ในการนิเทศการศึกษา ผู้นิเทศการศึกษาจะต้องคำนึงถึงรากฐานทางจิตวิทยา ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาที่เกิดจากการทำงานของครูกับเพื่อนร่วมงาน ปัจจุบันนี้การเยียวยากลุ่มมาใช้กับนักเรียนฝึกหัดครู ปรากฏว่านักเรียนได้เปลี่ยนแปลงเจตคติและมีความเข้าใจเด็ก ๆ มากขึ้น ได้ศึกษาเกี่ยวกับการเยียวยา

กลุ่มและพบว่า การเยียวยากลุ่มช่วยชดเชยความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวของนักเรียน ช่วยส่งเสริมการอภิปราย

อย่างเสรี ช่วยส่งเสริมการปรับตัวช่วยลดการต่อต้าน และกระตุ้นความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น

 

13. สัมภาษณ์มีรูปแบบ (Structured Interview)

            การสัมภาษณ์มีรูปแบบ เป็นการสัมภาษณ์แบบหนึ่งในหลาย ๆ แบบที่ใช้ในกิจกรรมนิเทศการศึกษา การสัมภาษณ์ใช้วิธีการแบบเผชิญหน้า วิธีการนี้ใช้มากเพื่อสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นก่อน หรือเป็นการแจ้งข่าวให้ทราบ เกี่ยวกับผู้ร่วมงาน การประชาสัมพันธ์ และการประเมินผลงาน สิ่งที่ทำ ให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จได้คือการใช้วิธีสัมภาษณ์มีรูปแบบนั่นเอง

 

14. การสัมภาษณ์เฉพาะจุด (Interview Focused)

            การสัมภาษณ์เฉพาะจุดนี้ เป็นกิจกรรมทางการนิเทศโดยเฉพาะ เป็นที่เหมาะอย่างยิ่งในงานประเมินผลและงานนิเทศภายในได้อธิบายลักษณะสำคัญของการสัมภาษณ์แบบนี้ว่า  ผู้ถูกสัมภาษณ์ต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง

ผู้ถูกสัมภาษณ์ ต้องวิเคราะห์สถานการณ์ขั้นพื้นฐานที่สำคัญเสียก่อนแนวทางการสัมภาษณ์จะเน้นเฉพาะจุดที่ถูกสัมภาษณ์มีประสบการณ์การสัมภาษณ์จะเน้นเฉพาะจุดที่ถูกสัมภาษณ์มีประสบการณ์ลักษณะวิธีการสัมภาษณ์ดังกล่าวนี้ สอดคล้องอย่างยิ่งกับหลักการนิเทศในการสังเกตการสอนในห้องเรียน ผู้นิเทศใช้วิธีการสัมภาษณ์เฉพาะจุดนี้ สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ในห้องเรียน พัฒนาวิธีการสัมภาษณ์ โดยเน้นตรงที่ความคิดของครูที่มีต่อประสบการณ์การเรียนการสอน กิจกรรมทำนองนี้มีคุณค่าอย่างยิ่งในการพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญของพฤติกรรมในห้องเรียนของครู

                ความพยายามที่จะทดสอบความรู้และความต้องการขณะที่ดำเนินอยู่ภายใต้จิตสำนึกของแต่ละคน สามารถจะใช้วิธีการสัมภาษณ์เฉพาะจุดได้ผล วิธีอื่น เช่น แบบสอบถาม การอภิปรายและการสัมภาษณ์แบบเค้าโครง จะได้ผลลัพธ์ที่มีคุณค่าสำหรับจุดมุ่งหมายทางการประเมินผลหลายประการแน่นอน แต่ก็ไม่ครอบคลุมปฏิกิริยาโต้ตอบกลับทางความคิดต่อประสบการณ์ ซึ่งจริง ๆ แล้วหากต้องการให้รู้สึกลงไปอีกก็อาจจะใช้วิธีการสัมภาษณ์เฉพาะจุดได้ในทำนองเดียวกัน ชุมชนจะมีความสัมพันธ์และเข้าใจต่อโครงการต่าง ๆ อย่างดีต้องอาศัยวิธีสัมภาษณ์เฉพาะจุด เพื่อจะได้ข้อมูลนำมาวิเคราะห์ความคิดเห็น ถ้าท่านต้องการจะรู้ว่าคนอื่นเขาคิดอะไร รู้สึกอย่างไร ท่านทำได้ด้วยการถาม แต่โดยทั่วไปคำตอบจะได้ข้อเท็จจริงน้อยกว่าการใช้เทคนิคในการสัมภาษณ์

 

15. การสัมภาษณ์ทางอ้อม (Interview Non-Directive)

            การสัมภาษณ์อย่างชนิดที่ไม่ต้องมีแนวทาง เป็นการสัมภาษณ์ตัวต่อตัว ระหว่างผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ เปิดโอกาสให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ซักถามสิ่งต่าง ๆ ได้ตามความชอบใจเป็นการสัมภาษณ์ชนิดที่ไม่ต้องมีแนวทางกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ ขึ้นอยู่ที่ว่าผู้ถูกสัมภาษณ์มีปัญหาความสนใจและข้อข้องใจอย่างไรบ้าง สิ่งเหล่านี้จะช่วยเป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้สัมภาษณ์ซักถาม ผู้สัมภาษณ์จะสร้างบรรยากาศให้เป็นกันเอง พยายามหาช่องทางตะล่อมให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ตอบให้มากที่สุด

                การสัมภาษณ์ชนิดนี้มักจะเรียกอีกนัยหนึ่งว่า เป็นการสัมภาษณ์ชนิดที่ช่วยแก้ไขหรือรักษาผู้ป่วย (Therapeutic Interview) สัมภาษณ์ชนิดนี้มีประโยชน์ม

หมายเลขบันทึก: 199945เขียนเมื่อ 10 สิงหาคม 2008 11:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 08:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท