แนวเหล็กรางคู่พาดยาวบนแท่งหมอนคอนกรีต มุ่งหน้าไปทางบูรพาทิศ มันคือทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-อรัญประเทศ ซึ่งยังคงเดินทางซ้ำๆเหมือนเข็มนาฬิกา แต่เก็บบันทึกเรื่องราวเอาใว้มากมาย ทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ จากการพบเจอ หรือความเศร้า และคราบน้ำตาของการพรัดพราก และอีกหลายฉากของละครชีวิตที่ยังคงโลดแล่นและวนเวียนอยู่บนรางเหล็กคู่นี้วันแล้ววันเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เสียงหวูดที่ทรงพลังบางครั้งกลับฟังดูเหงาและเศร้า เสียงล้อเหล็กที่บดลงไปบนรางคู่เก่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนดูเหมือนความเจ็บปวดไม่ได้มีใว้เพื่อมันเลย
เมื่อครั้งเป็นเด็ก เคยชื่นชอบเรื่องราวที่มีเครื่องย้อนเวลาพาตัวเรากลับไปหาอดีต วันนี้ความฝันปรำปราก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เจ้าม้าเหล็กแห่งบูรพาก็คือเครื่องมือแห่งกาลเวลาชิ้นนั้นนั่นเอง
“สถานีห้วยโจดครับ” ผมบอกกับเจ้าหน้าที่ออกตั๋ว “สี่สิบบาทครับ” เสียงเจ้าหน้าที่จากตู้คอนเทนเนอร์ที่ดัดแปลงเป็นห้องจำหน่ายตั๋วชั่วคราวที่สถานีลาดกระบังตอบกลับมา “เมื่อสิบห้าปีที่แล้วผมก็จ่ายราคานี้ ยังใช้ราคาเดิมอยู่หรือครับ” ผมถามกลับไป “การรถไฟไม่เคยขึ้นราคามาเกือบยี่สิบปีแล้วน้อง และอาทิตย์หน้าก็จะให้ขึ้นฟรีอีกด้วย” พนักงานคนเดิมตอบ เขาคงจะหมายถึงนโยบายประชานิยมที่จะเริ่มใช้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้เป็นแน่
ก้าวแรกที่เหยียบย่างผ่านประตูรถไฟก็รู้สึกถึงการก้าวผ่านเส้นเวลา ใจผมเต้นถี่ เสียงล้อเหล็กเริ่มบดลงไปบนราง มันเริ่มส่งเสียงครางเอี๊ยดอ๊าดที่ค่อยๆดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความตื่นเต้น ภาพเก่าๆที่จางหายไปนานก็ค่อยๆชัดขึ้นอีกครั้ง
“ผัดพริกผัดกระเพราใข่ดาวเหนียวเนื้อมาแล้วจ้า..า..า” เสียงแม่ค้าลากเสียงร้องเรียกอย่างคล่องแคล่วเหมือนเทปที่เปิดกลับไปกลับมาจนเริ่มยืดและยาน ผมหันไปยิ้มให้แม่ค้า ยิ้มให้กับอดีต ทำเหมือนดั่งว่าเพิ่งเคยเห็นภาพนี้ครั้งแรกอย่างนั้นแหละ “แก๊ก.แก๊ก.แก๊ก.แก๊กๆๆๆ” เสียงเคาะเหล็กที่ดังแหลมเล็กและถี่ แว่วมาจากตู้ข้างหน้า ผมหยิบกระดาษสีขาวแผ่นขนาดธนบัตรใบละหนึ่งร้อยที่ระบุจุดหมายปลายทางที่ “สถานีห้วยโจด” ออกมา “ขอตรวจตั๋วด้วยครับ” เสียงนายตรวจเรียก ผมส่งตั๋ว และยิ้มให้นายตรวจ
สองข้างทางเป็นทุ่งนากว้างไกลสุดตา บ้างก็ชูช่อรวงเหลืองเขียว บ้างก็มีร่องรอยเก็บเกี่ยว บ้างก็ปล่อยรกร้างว่างเปล่า นกน้ำนานาชนิดหากินอยู่ทั่วท้องทุ่ง ทั้งที่หลบร้อนอยู่ตามพุ่มไม้ หรือที่บินฉวัดเฉวียนสีตัดกับฟ้าคราม และที่เกาะนิ่งอวดสีสันสวยงามตามสายโทรศัพท์ก็มีไม่น้อย
แม้เสียงกระแทกตึงตังและลมที่กรรโชกอยู่ตลอดเวลา แต่ตรงข้อต่อระหว่างตู้ก็ยังเป็นที่ที่ผมชอบมายืน กลิ่นโชยจากห้องสุขา และละอองน้ำที่ปะทะใบหน้าเป็นครั้งคราว แม้จะเป็นกลิ่นที่ไม่น่าพิศมัยซักเท่าใด แต่ดูจะเป็นเสน่ห์อีกอย่างที่สำผัสได้ทุกครั้งที่ยืนที่นี่ บันไดเหล็กรูปตัวยูที่ยึดติดกับตัวตู้ ขึ้นไปบนหลังคา เคยปีนขึ้นไปหลายครั้งเพราะชอบภาพพาโนรามาที่หาดูที่ใหนไม่ได้ และความตื่นเต้นสุดๆคงจะเป็นตอนที่เจ้าม้าเหล็กควบผ่านสะพานเหล็กกล้าสีดำทะมึนที่ดูดุจปีศาษ ผมจะรีบนอนราบกับหลังคาเพื่อมองดูราวสะพานวิ่งผ่านใบหน้าไปด้วยความเร็วเก้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงกับระยะห่างไม่ถึงครึ่งเมตร และทุกครั้งก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า ตัวเองคือ “ฮูยัน” พระเอกจากหนังเรื่อง “ผีเสื้อและดอกไม้”ตอนแอบขนข้าวสารข้ามเขตแดนไทย-มาเลย์ นั่นคือความท้าทายที่ไม่มีความหวาดกลัวเจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อยสำหรับเด็กหนุ่มวัยแค่ยี่สิบต้นๆ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้อย่างแน่นอน
เสียงหวูดคำรามอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆลดความเร็วลง แล้วมันก็หยุดนิ่งตรงกับป้ายประจำสถานี“ประจันตะคาม” เป็นป้ายไม้เก่าๆ และตัวอักษรหัวกลมแบบเก่าสีหลุดลอก ดูเป็นภาพที่เข้ากับบรรยากาศเสียเหลือเกิน เมื่อ ธงสีเขียวประจำสถานีโบกสะบัด มันก็เริ่มทะยานไปข้างหน้าอีกครั้ง ภาพเด็กตัวน้อยๆยืนโบกมือข้างทาง ช่างประทับใจจริงๆ ดูเหมือนพวกเขาจะรู้ล่วงหน้า และเตรียมตัวหลายวันแล้วที่จะมาต้อนรับการกลับมาของผม เสียงตะโกนโหวกเหวกฟังไม่ได้ศัพท์ ความคิดของผมเตลิดไปไกล
บ่ายคล้อยมากแล้ว ความร้อนอบอ้าวเริ่มจางหาย ลมเย็นยังคงกรรโชกอยู่นอกหน้าต่าง มองเห็นเทือกเขายืนตระหง่านทอดยาวแต่ไกล คือเทือกเขาใหญ่ที่เชื่อมต่อเทือกเขาพนมดงรักและพาดผ่านไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน จุดหมายอยู่ไม่ไกลซักเท่าใหร่แล้ว ผ่านมาหลายสถานี ศาลาลำดวน สระแก้ว ท่าเกษม และสถานีถัดไปก่อนจะถึงวัฒนานคร คงจะเป็นบ้านห้วยโจด เสียงหวูดคำรามอีกครั้งเตือนให้ผมเตรียมตัวที่จะลงสถานีข้างหน้า แล้วความคิดของผมเริ่มจะเตลิดไปอีกครั้ง ...แตรวงคณะใหญ่ที่กำลังบันเลงอย่างสนุกสนาน เพื่อนพ้องแต่เก่าก่อนออกมาเต้นรำกันอย่างเมามันตามจังหวะเสียงกลองที่เร่าร้อน กลิ่นเหล้าขาวโชยฟุ้งอยู่รอบๆ ป้ายยินดีต้อนรับโบกพริ้วใหวๆเพราะแรงลมจากรถไฟที่เข้าเทียบชานชลา...... แล้วภาพเหล่านั้นก็เลือนหายไป แม่ค้าสองสามคนก้าวลงอย่างคล่องแคล่วขณะกระเตงตะกร้าใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยผักลวกจิ้มและถุงน้ำพริกปลาร้า แม้จะจากที่นี่ไปสิบกว่าปีแต่ผมก็ยังจำรดชาดผักลวกจิ้มน้ำพริกปลาร้าเหล่านั้นได้ดี
สถานีบ้านห้วยโจด เป็นสถานีเล็กๆ มีศาลาเพิงหมาแหงน กับเก้าอี้ม้ายาวเก่าๆ หญ้าที่รกครึ้มขึ้นอยู่รอบๆ ไม่มีนายสถานีคอยให้สัญญาณธง จะมีก็แต่ร่องรอยจากสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวๆนั้น
เสียงล้อเหล็กบดรางหายไปนานแล้ว คงเหลือแต่ความเงียบ ผมนั่งทอดน่องอยู่คนเดียวบนเก้าอี้ม้ายาวใต้เพิงหมาแหงน ปล่อยความคิดไปตามสายลมเอื่อยๆ ทุ่งยูคาลิปกว้างไกลนับพันๆไร่ ลดหลั่นสูงต่ำสุดลูกหูลูกตา ต้นสโนขึ้นอยู่ประปราย แต้มสีดอกเหลืองดูสดใส แสงสีส้มจับรอบๆเมฆสีหม่นตรงขอบฟ้าทิศตะวันออกไกล เป็นภาพยามเย็นที่งดงามเสียเหลือเกิน แม้จะดูเหงาๆก็ตาม
การเดินทาง มีเสน่ห์ในตัวอยู่แล้วครับ
ตอนนี้ขึ้นรถไฟฟรีไปถึงสิ้นเดือน มกรา 2552
ถ้ารัฐบาลไม่ช่วยจริง เติมแกลบแทนน้ำมันแน่
สวัสดีครับพี่
1. naree suwan
ตั้งแต่ปี 2531 ถึง 2536 ผมใช้บริการรถไฟสายนี้ตลอดครับ และที่ทำงานก็อยู่ไม่ไกลกับเส้นทางรถไฟ เสียงรถไฟที่มาจากกรุงเทพฯก็คือนาฬิกาบอกเวลาว่าได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว ทุกๆวันที่ต้องอยู่ในแคมป์พวกเราจะรอคอยการมาของรถไฟ และนั่นก็เป็นอีกเหตผลที่ทำให้รักรถไฟโดยไม่รู้ตัว
ผมกลับไปที่นั่นเมื่อรู้ว่าหน่วยงานกรมทางหลวงที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกำลังจะถูกยุบไป หลายคนแยกย้ายสูญหาย หลายคนล้มตาย เหลือบ้านพักคนงานเพียงไม่กี่หลัง สิ้นปีงบประมาณนี้ทุกอย่างก็จะเป็นอดีต แต่ทุกๆคนยังอยู่ในความทรงจำของผม ผมใช้หัวเรื่อง timemachine1 ก็เพราะว่าจะต้องมี 2 3 4..... ผมบอกกับตัวเองว่าจะนำเรื่องราวของทุกคนกลับมามีชีวิตอีกครั้งครับ
ไม่ทราบว่าพี่นรีก็เคยใช้บริการของรถไฟสายนี้เหมือนกัน ผมก็ชอบคันที่มีเก้าอี้ไม้ครับ แต่วันนั้นทั้งไปและกลับไม่ได้นั่งคันนั้นเลยครับ ไม่รู้ว่ายังอยู่อีกหมั๊ย
ขอบคุณมากครับพี่นรี แหม.. เข้ามาก่อนใครเลยครับ สบายดีหมั๊ยครับ
สวัสดีครับคุณหมอ drrakpong
ผมคิดว่าที่ราคา 40 บาท เฉพาะตั่วและเครื่องพิมพ์ก็ขาดทุนแล้วครับ คงไม่ต้องพูดถึงน้ำมันที่ใช้เติมรถไฟเลย ต้องขอขอบคุณรถไฟจากใจจริงที่ยอมแบกรับภาระทุกอย่างเพื่อคนจน คนรากหญ้าโดยแท้
และขอบคุณคุณหมอด้วยครับ ที่แวะเวียนเข้ามาให้ความคิดเห็นดีๆ
สวัสดีครับ ครูแอน
ตอนนี้กลับมาแล้วครับ กลับมาหาคนที่บ่นคิดถึง เอ... เรื่องต่อไปอาจจะเป็น "รถไฟสายเหนือ" หรือ "ครูบนดอย" ก็ได้น่ะครับ เพราะรับปากกับใครใว้หลายคน โดยเฉพาะนายเอก
ครูแอนสบายดีหมั๊ยครับ
ครูแอนสบายดีค่ะ...พี่เอกเดินสาย..ไม่แน่ใจยังอยู่ที่ภาคใต้หรือเปล่า..ถ้ามาได้บรรยากาศป่าเขา...รถไฟเข้าถ้ำขุนตาล ลำปาง...ตอนเด็กๆ ครูแอนแทบหัวใจจะวาย...พี่ไกด์ สบายดีมั๊ยค่ะ...ช่วงนี้ฝนตกหนักค่ะ..ช่วงตุลา-ปีใหม่ ปายคงมีโอกาสได้ต้อนรับพี่น่ะค่ะ
ครูแอน
สบายดีเช่นเดียวกันครับ แต่ไม่ค่อยมีโอกาศได้เข้ามาบ่อยนัก ด้วยข้อจำกัดบางอย่าง แต่ก็คิดถึงพี่ๆน้องๆทุกคนที่นี่เหมือนเดิม อืม... เห็นเรื่องของครูแอนแล้ว เป็นพรืดเลยเดี๋ยวจะเข้าไปทะยอยอ่านน่ะครับ
สวัสดีครับ พี่ขจิต
คิดถึงพี่เช่นเดียวกัน และก็คิดถึงทุกๆคนด้วย อยากจะเข้ามาครับ แต่ด้วยเหตผลหลายอย่างทำให้ต้องหายทั้งหัวและตัวไปพร้อมๆกัน
พี่ขจิตคงสนุกกับการได้ออกค่ายทั่วประเทศเลยน่ะครับ แล้วอย่าลืมเก็บมาเล่าให้ฟังบ้างน่ะครับ ขอบคุณครับพี่
พี่นรี
"สถานีโยทะกา" พอเห็นภาพก็ อ๋อ.. ใช่ครับเป็นสถานีที่สวยแบบคลาสสิคจริงๆครับ ต้องขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับภาพอีกด้านหนึ่งซึ่งต่างจากมุมมองบนรถไฟที่ไม่เคยเห็นเลย เดาได้เลยว่าทุกอย่างคงปลูกสร้างมาพร้อมๆกับการวางรางครั้งแรกเลยแน่นอน
การรถไฟน่าจะเป็นหน่วยงานสุดท้ายที่ยังคงรักษาระบบการทำงานแบบเก่าได้สมบูรณ์ที่สุด อาจดูล้าหลังหากเปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่น แต่ดูให้ดีแล้ว ไม่มีหน่วยงานใหนคลาสสิคเท่าการรถไฟหรอกครับ
ขอบคุณอีกครั้งครับพี่นรี
หวัดดีครับพี่อร
พี่ก็มีความหลังกับรถไฟเหมือนกัน เป็นความหลังที่กุ๊กกิ๊ก หวานแหวว น่ารักดีน่ะครับ พี่อรลองเขียนเล่าให้ฟังหน่อยได้หมั๊ยครับ บางทีอาจจะมีการขอลิขสิทธ์ไปสร้างเป็นภาพยนต์โฆษณาให้กับการรถไฟก็ได้น่ะครับ
แล้วพี่อรมีภาพรถไฟจากออสเตรเลียมาฝากบ้างหมั๊ยครับอยากเห็นจังเลย ผมยังฝันอยากนั่งรถไฟสายไซบีเรียอีกด้วยครับ หนึ่งอาทิตย์คงได้สัมผัสกับรถไฟอย่างเต็มอิ่มเลย ขอบคุณครับพี่อร
สวัสดีครับผม
ช่วงนี้ผมมาที่ระยอง และจะกลับ กทม.ในวันพรุ่งนี้
ตื่นเต้นและดีใจครับ เหมือนกับนานแล้วที่ไม่ได้ทักทาย แต่แล้ววันหนึ่งก็เห็นพี่เดินเข้ามาโบกมือไหวๆที่หน้าบ้าน
ผมเองเปลี่ยนวิถีตัวเองมากเหมือนกันครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือความฝันที่มีนะครับ ผมเดินทางไปไหนต่อไหนบ่อยๆแทบจะบอกได้ว่าแทบไม่หยุดการเดินทาง ด้วยภาระงานที่มี และผมมีความสุขครับ...
พื้นที่ส่วนใหญ่ก็เป็น สาม จังหวัดชายแดนใต้ ประเด็นที่ทำงานก็ท้าทายความสามารถตนเอง และน่าสนใจครับ...
เกริ่นเสียยาว ให้สมกับความระลึกถึงนะครับ
บันทึกนี้ บอกมุมอารมณ์ได้ดีครับ...
บรรยากาศรถไฟ เป็นเรื่องที่ตื่นเต้นสำหรับเด็กบนดอยอย่างผมเสมอ แม้กระทั่งโตขนาดนี้ ขึ้นรถไปครั้งใด ยังรู้สึก งงๆ จำโบกี้ไม่ค่อยได้ ผมคิดว่าเสน่ห์ของรถไปอยู่ตรงที่ ทัศนียภาพริมหน้าต่างบานใหญ่ การเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ บรรยากาศผู้คนบนรถ แม้กระทั่งพ่อค้า แม่ค้า ที่ดูเหมือนเป็นเอกลักษณ์ของรถไฟไทย
ล่าสุด...ช่วงวันหยุดยาว ผมพยายามเดินทางกลับเหนือ ต้นทาง กทม. ถึง เชียงใหม่ เกือบไม่ได้กลับบ้านเพราะตั๋ววันไปและกลับถูกจองหมด ผมโชคดีที่รู้จักพี่ีทำงาน รฟท. ผมได้ตั๋วครับ รถนอนที่แสนสบาย แต่กลับนอนไม่หลับเลย...รถไฟขบวนนั้นช้ากว่าปกติอย่างไม่น่าเชื่อ(หรือว่าผมใจร้อนมากขึ้นกับเวลาที่เปลี่ยนไป) ช่างไม่ทันใจผมเอาเสียเลย เมื่อบวกลบคูณหารเวลาแล้ว ผมใช้เวลาร่วม ๑๗ ชม. จาก กทม. ถึง เชียงใหม่ ในขบวนรถด่วน...(ไม่น่าเชื่อ)
ก่อนขึ้นรถที่ กทม. ถูกพนักงาน รฟท.ตะคอก จนทำให้ผมสูญเสียความมั่นใจพักใหญ่ แต่ก็ยังใจเย็นไม่ตอบโต้ เพราะนอกจากไม่ได้อะไรแล้ว ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด...ขึ้นไปบนรถไฟ หลังกำจัดเห็บ มอดไรแล้ว ...กับรถไฟไทยราคาตั๋วที่แพงพอสมควร กลับสกปรกอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เอาเถอะไหนๆก็ต้องเดินทางไป อดทนกับความไม่ประทับใจทั้งมวล เพราะอยากกลับบ้าน...
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ประทับใจเลยกับ รฟท. ที่ใช้งบประมาณสูงลิบลิ่วในการแช่น้ำยาฆ่าเห็บ...ไม่ต้องแปลกใจเมื่อเราเห็นพัฒนาการของรถไฟของเมืองไทย แบบที่เราเห็นในปัจจุบัน
นี่คงเป็นมุมที่ไม่ประทับใจ ในส่วนของผมครับ หลายๆท่านอาจมองต่างมุม ก็ว่ากันไป...
ผมคงเข็ดไปอีกนาน...ไม่จำเป็นขอเดินทางด้วยวิธีอื่นดีกว่า ถึงแม้ตอนเด็กผมคิดว่าการเดินทางที่คลาสสิคนั้นไม่มีการเดินทางแบบใดที่จะเทียบเท่ารถไฟ...
พี่สบายดีนะครับ...
บันทึกพี่ได้กลิ่นความเหงาแทรกอยู่นะครับ...อย่างไรก็ตามครับ ขอให้เหงาพอให้คิดถึงกันนะครับ
ระลึกถึงเสมอครับผม
สวัสดี เอก
เราไม่ได้พูดคุยกันนานแล้วน่ะ คิดถึงเหมือนกันครับและเข้ามาสองสามวันแล้ว กำลังทะยอยแวะเยี่ยม(อ่าน)คนโน้นคนนี้ไปเรื่อยๆ คงสนุกกับการตระเวนแถวปักษ์ใต้น่ะ
จากบันทึกผมพยายามหยิบเอาแต่ส่วนที่ดูดีของรถไฟและไม่พูดถึงส่วนอื่นที่มีอยู่เยอะแยะเหมือนที่เอกว่านั่นแหละ หากเปรียบการรถไฟเป็นคนก็คงเหมือนเด็กที่พ่อแม่ลำเอียงนั่นแหละครับ ถูกเลี้ยงแบบทิ้งๆขว้างๆ โตก็ช่างไม่โตก็ช่าง ให้กินก็แค่พอกันตาย อายุขนาดนี้แล้วยังเป็นเด็กไม่ยอมโต... ต้องโทษพ่อแม่ครับ เลี้ยงลูกยังไง..!
เอกคิดดูซิ หัวรถจักรหนึ่งหัววิ่งจากเชียงใหม่ถึงกรุงเทพฯกินน้ำมันพอๆกับรถบรรทุกสิบล้อหนึ่งคันแต่บรรทุกได้มากกว่าสิบถึงยี่สิบเท่า ประหยัดน้ำมันได้เท่าใหร่? แล้วทำไมการขนส่งทางรถไฟจึงไม่ได้รับความนิยม ทำไมไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาป... เลี้งลูกยังไง.................!
ดีใจครับได้เจอกันอีก ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะไปเคาะประตู แต่เอกเสือปืนใวมาเคาะเสียก่อนนี่ บันทึกนี้เขียนเพราะคิดถึงเพื่อนๆพี่ๆที่เคยทำงานด้วยกัน และตอนนี้กำลังจะถูกยุบจึงรู้สึกใจหาย เพราะเติบโตและเรียนรู้อะไรหลายอย่างจากช่วงชีวิตหนึ่งเลยทีเดียว บันทึกจึงดูเหงาๆแต่เศร้างามๆครับ
คิดถึงเสมอเช่นเดียวกันครับ
ตอนนี้ผมอยู่ที่อ่าวคุ้งกระเบน จันทบุรีครับ
มาศึกษาการอนุรักษ์พะยูน กับพี่ศิริบูรณ์ (ช่อง๓) และ ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ประธานมูลนิธิสิ่งแวดล้อมไทย ...เป็นอีกมิติที่น่าสนใจ เกี่ยวข้องกับท้องทะเลไทย
มาศึกษางานอนุรักษ์ฯ ประเด็นเหล่านี้แล้วคิดถึงพี่ทุกครั้งเลยครับ
เห็นด้วยครับ บันทึก ดูเหงาๆ และเศร้าพองามๆ
คิดถึงเช่นกันครับ
-----------
เอก
เอก
คงสนุกกับชีพจรลงเท้าเต็มที่เลยน่ะได้ทำงานที่รักที่ชอบ อิจฉาจริงๆ "อ่าวคุ้งกะเบน" อยากให้หน่วยงานอณุรักษ์ป่าชายเลนที่อื่นๆทำแบบนั้นบ้าง โดยเฉพาะเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่มีข้อมูลเชิงลึกเน้นความเข้าใจที่ดีต่อระบบนิเวศวิทยาป่าชายเลนได้อย่างดีทีเดียว และชาวบ้านอยู่ร่วมกับป่าชายเลนของพวกเขาได้ ผมชอบที่นั่นมาก เคยได้หนังสือข้อมูลความรู้เกี่ยวระบบฯป่าชายเลนพร้อมภาพสี่สี และข้อมูเชิงลึกที่ดีมาก แต่น่าเสียดายครับเสียหายไปตอนไฟใหม้ออฟฟิทที่เมืองกระบี่ หากมีโอกาศจะกลับไปหาหนังสือเล่มนั้นอีกครับ
เอก อิจฉานายจัง
สวัสดีครับพี่การีมครับ
ผมเห็นรูปรถไฟและภาพเหล่านี้มีความหมาย เอามาฝากครับ
สวัสดีค่ะ น้องการีม
เป็นภาพที่หาเจอใน trip การท่องเที่ยวประเทศออสเตรเลียค่ะ นำภาพรถไฟและแถมคนมาฝากด้วยค่ะ
พี่นั่งรถไฟที่วิ่งผ่านภูเขาสีน้ำเงิน blue Mountain ไปยังเมืองพารามัตตา เพื่อไปท่องเที่ยวสถานที่อันสวยงาม และประทับใจมาก คือ Three Sisters
เชื่อไหมค่ะ ว่าพี่เดินจากสถานีรถไฟ ขึ้นไปที่ 3 Sisters ได้ โดยอากาศหนาวและฝนตกพร่ำๆ ตลอดทางกว่า 5 กิโลเมตรค่ะ
สิ่งที่ได้คุ้มค่ามากค่ะ ได้เห็นสภาพบ้านเรื่อน 2 ข้างทาง ได้เห็นไม้เมืองหนาวแสนสวยงาม ซึ่งหากเลือกจะนั่งรถขึ้นไป จะไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้เด็ดขาดค่ะ
สภาพของรถไฟเป็นอย่างนี้ค่ะ ดูวิวบ้านเรือน ป่าไม้ ต้นไม้ สวยงามดีค่ะ
สวัสดีปีใหม่ครับ
ตามมาอ่าน...ชอบงานเขียนนี้มากครับ ดูคลาสสิค มีโอกาสคงได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้นะครับบัง
มีแอบขำกับคำว่าเลี้ยงลูกยังไงของพ่อแม่ที่คุณใช้ชื่อว่ารัฐบาป...หึหึ
เรื่องราวที่คุณถ่ายทอดออกมาเรียกความรู้สึกตอนที่นั่งรถไฟครั้งที่สองของชีวิตได้ดีมาก...คิดถึงวันเวลาเมื่อได้ก้าวขาขึ้นรถไฟเป็นครั้งแรก และไม่ใชว่าความตื่นเต้นและความทรงจำจะลดน้อยถอยลงเมื่อได้เดินทางอีกครั้งไปไกลถึงเชียงใหม่
ความรู้สึกเมื่อแย้มหน้ารับสายลม และอมยิ้มกับแสงแดดยังกรุ่นๆ เหมือนเพิ่งผ่านมาตอนที่อ่านบันทึกนี้
ปล. จำได้ว่าได้กิน "ไอติม" ตอนที่ขบวนรถหยุด จำไม่ได้ว่าที่สถานีใด แต่ที่ติดใจคือความอร่อยที่ถึงกับต้องแย่งกันกับเพื่อน เมื่อแม่ตัวดีเกิดรู้ว่าไอติมถ้วยน้อยๆ นั้นรสชาติดีกว่ารูปลักษณ์ภายนอก เราคนซื้อเลยได้แต่นั่งมองถ้วยเปล่าในมือ พลางนึกเสียดายว่าทำไม่ไม่มองชื่อสถานีไว้แต่แรก เผื่อมีคราวหน้าที่ได้นั่งมาแถวนี้จะได้กินอีก เฮ้อ...เสียดายนะเนี่ย
อ้อ...ลืมบอกไปค่ะ ชอบประโยคเด่นมาก - - รู้สึกมันแทงใจดำตัวเองยังไงไม่รู้สิ
ขอบคุณครับคุณ คนโรงงาน
สำหรับ สคส. และคำอวยพร และขอเช่นเดียวกันให้กับคุณและครอบครัวด้วยครับ ต้องขอโทษด้วยครับที่เข้ามาตอบช้ามาก
ขอบคุณจากใจอีกครั้งครับ
ขอบคุณครับ กับเสียงเล็กๆ
และยินดีกับการที่จะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และยืนดีที่ได้รู้จักครับ
"เสียงเล็กๆนี่แหละ มักจะเป็นเสียงที่มีความหมายนักหละ"
หวัดดีครับน้องปุ้ย
ทุกๆคนมีความหลังครับ จะเป็นความหลังที่ดีน่าจดจำ หรือเจ็บปวดขมขื่นก็ล้วนเป็นความหลัง ความหลังของผมเป็นความหลังที่ดีน่าจดจำ แต่กลับเจ็บปวดและข่มขื่นที่กลับไปหาเมื่อพบว่า สถานที่เคยทำงานได้ถูกยุบไปเสียแล้ว หลายคนไร้อนาคตแม้จะมีความสามารถและแม้จะทำงานทุ่มเทให้กรมทางฯมาเกือบทั้งชีวิต "รถไฟสายอดีต"เป็นความคิดถึงถึงความหลัง คิดถึงเพื่อนพี่น้อง คิดถึงนายช่าง ทั้งที่ล้มหายและตายจาก ยังสัญญา(กับพี่นรี)ใว้ว่า จะมีรถไฟสายอดีตที่สอง สาม สี่...อีก
สวัสดีครับพี่นรี
รับรองว่าสองสามสี่มาแน่นอนครับ ผม(เคย)คิดจะเขียนหลังจากได้อ่าน"มหาลัยเหมืองแร่"ของครูอาจินต์ ทุกๆคนและเรื่องราวยังมีชีวิตและยังคิดถึงพวกเขา เพื่อนๆพี่ๆและนายช่างหลายคนที่เคยร่วมงานด้วย ผมเคยคิดดว่าตัวเองได้เสียเวลาเปล่าไปเกือบเจ็ดปีแต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลยครับ ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ที่นั่นคือสถานที่ดัดสันดารเด็กหนุ่มที่ว้าวุ่นและสับสน สอนให้เขารู้ว่าการเอาแต่ใจและทำอะไรประชดคนอื่นนั้นไม่เป็นผลดีกับตัวเองเลย แล้วผมจะเล่าให้ฟังว่ารู้จักกับใครและเรียนรู้อะไรมาบ้าง อาจจะช้าและไม่ทันใจพี่สาวที่บินด้วยความเร็วเหนือเสียงบ้างก็ต้องขอโทษด้วยครับ
ขอขอบคุณครับที่นอกจากจะนำรูปสถานีรถไฟสวยๆมาตกแต่งบล๊อกให้แล้วยังแวะเวียนมาทักทายกันบ่อยๆอีกครับ
สลามค่ะ
วาลัยกม สลามครับครู
ผมเคยชินกับการทำงานในสถานที่ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อกลับไปยังอีกสถานที่หนึ่งและต้องเจอกับสิ่งที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยในรอบยี่สิยปี มันเหมือนกับเวลาถูกย้อนกลับไปอีกครั้ง ทั้งตื่นเต้น ดีใจ เหงาและหดหู่ ทุกอย่างรวมอยู่ในรถไฟสายนี้ครับ
คิดถึงสระแก้ว(จริงแล้วยังคุ้นอยู่กับคำว่า"ปราจีน"มากกว่า)เหมือนกันครับ
ขอบคุณครับครู ขออัลเลาะฮ์คุ้มครองเช่นเดียวกันครับ
สลามครับอ่านแล้วนึกถึงสมัยนั่งรถไฟมาก
วัสลามครับอาจารย์ เบดูอิน
ขอบคุณมากครับที่แวะมาเยี่ยม ขอใส่ใว้ในแปลนเน็ตเป็นแฟนติดตามและหาความรู้(โดยเฉพาะเรื่องศาสนา)ด้วยน่ะครับ
สลามครับคุณ การีม ขอบคุณมากที่แวะมาแลกเปลี่ยน คงได้มีโอกาสคุยกันเรื่องภูเขาลำเนาไพร ครั้งสุดท้ายไปเดิน ต้นน้ำพะโต๊ะ เส้นทางหลักไก่ต่อ ถึงหลางตาง สนุกมากครับ
วัสลามครับคุณวอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei--
ผมไม่ใช่ลูกป่าโดยกำเหนิดแต่ชอบต้นไม้,กล้วยไม้ และเมื่อได้มีโอกาศเข้าป่ากับนักท่องเที่ยวเมื่อห้าหกปีที่แล้วก็มักจะหาโอกาศเข้าป่าบ่อยๆ พะโต๊ะเป็นเส้นทางที่อยากไปแต่ยังไม่มีโอกาศ น่าสนใจจริงๆ อยากไปเที่ยวด้วยหากมีโอกาศครับ
คงได้คุยกันเร็วๆนี้ ขอพระเจ้าคุ้มครองครับ
สวัสดีครับพี่ขจิต
ผมอยู่ที่พังงาครับ(เขาหลัก) แต่จะลองหาโอกาศไป อยากเจอพี่เหมือนกันครับขอบคุณครับพี่ขจิตที่แวะมาเยี่ยม เออ..ไม่ทราบอบรมที่ใหนครับเผื่อได้ไป
ชอบคิดว่าคุณkareem อยู่กระบี่ ฮ่าๆๆ อบรมให้ที่โรงพยาบาลกระบี่ครับ ว่างตามมานะครับ จะได้พบกับคุณหมอจอมป่วนและพี่หมอเจ๊
รับทราบครับพี่ขจิต
เป้อยู่ข้างหลัง หนทางอยู่ข้างหน้า จุดหมายอยู่ข้างขอบฟ้า ความบ้าอยู่ข้างใจ
ชอบมากเลยค่ะประโยคนี้ เพราะชอบแอบหนีเที่ยวคนเดียวประจำ
เอาความบ้าเป็นที่ตั้งบ้างเป็นบางครั้ง ก็น่ะ.......
บางทีคนเราก็ควรจะแกล้งลืมๆเหตุผลมากมายไปบ้าง
แล้วใช้ใจคิด........
ปล.รถไฟฟรีทันขึ้นรึเปล่าค่ะ น้องไปลองขึ้นมาแล้ว
เป้นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลง
เพิ่งกลับจากเยี่ยมแม่ที่เบลเยียม แม่สบายดีค่ะ
แต่น้องสิไม่ค่อยสบาย(ใจ)
ก็เลยหนีแม่ไปเที่ยวเมืองต่างๆคนเดียว
แย่หน่อยที่ไม่ค่อยมีคนพูดอังกฤษกัน...
แต่ก็ผ่านมาแบบสนุกดี ได้อะไรจากการตัดสินใจด้วยความบ้าครั้งนี้เยอะ
สบายใจแล้วค่ะ และก็สงบขึ้นเยอะ
.........หวังว่าพี่คงสบายดีน่ะค่ะ........มิลค์
หวัดดี มิลค์ ดีใจมากเลยที่เห็นเธอเข้ามา พี่สบายดี และยิ่งดีใจเมื่อรู้ว่าแม่ก็สบายดี เอ..ยังไม่บอกเลยน้องมิ้งค์เป็นไงบ้าง?
ไม่ได้มีใครอยากให้ชีวิตของเรายุ่งยากเลย หรือแม้แต่ตัวเราเอง เราแค่ต้องการให้ถึงจุดที่เรามุ่งหมายเอาใว้แต่ระหว่างทางเราต้องผ่านอุปสรรคและความยุ่งยากก็เท่านั้น ไอ้การจะเปลี่ยนความฝันหันหนีไปทางอื่น หรึอยอมแพ้ต่อมันแล้วหันหลังกลับมันก็กระไรอยู่ จะนั่งรอให้ใครมาเห็นใจก็เสียเวลาเปล่า คงต้องพึ่งความบ้าแล้วหล่ะ ถ้าพร้อมและมีสติ ก็จะรออะไรอยู่หล่ะ ....Mad for it....
พี่ยังจำเธอได้เด็ก ป.3-4 โรงเรียนศรีธรรมราชฯที่ต้องพาไปส่งโรงเรียนบ่อยๆ แต่นึกหน้าเธอนึกหน้าตอนเป็นนักศึกษา ม.เชียงใหม่ตอนนี้ไม่ออกเลยจริง สิบกว่าปีแล้วน่ะ..........
ขอบใจมาก น้องมิลค์
สลามครับคุณการีม แวะมาสลาม ไม่สลามกันหลายวันแล้ว (ขออภัยไม่ได้เข้าระบบ)บังวอญ่า
วัสลาม บัง วอญ่า
เหมือนกันเลยครับ ไม่ค่อยได้เข้าระบบบ่อยนัก ขอบคุณครับที่ยังแวะเวียนมาทักทาย สบายดีใช่หมั๊ยครับ