บันทึกการเรียนรู้ของทีม
ผู้บันทึก มยุรฉัตร ธรรมวิเศษ
วันที่บันทึก 2 สิงหาคม 2551 (สัปดาห์ที่ 3)
« ประมวลกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ลปรร.) ของสมาชิกในกลุ่มในสัปดาห์ที่ 3 ผ่านมาแล้ว 3 สัปดาห์สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในสัปดาห์นี้สมาชิกในกลุ่มมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการเรียนรู้ในหลายประเด็น และสมาชิกในกลุ่มเองก็มีการแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อสมาชิกในกลุ่มอื่น ๆ และสมาชิกิกลุ่มอื่นก็เพิ่มเติมต่อยอดให้กับกลุ่มเราด้วยเช่นกัน ซึ่งสมาชิกเองก็ได้มีประเด็นในการพูดคุยกันอยู่หลายประเด็นดังนี้
1. การยกระดับความสามารถของโรงเรียนขนาดเล็ก
2. การปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาการจัดทำนวัตกรรมการเรียนการสอนของครูสู่คุณภาพนักเรียน
3.ระบบการกำกับ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับสถานศึกษา กศน. ระดับอำเภอ
«ผลการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญ
ในสัปดาห์นี้สมาชิกได้มีโอกาสพบปะกับผู้เชี่ยวชาญ 2 ท่าน คือ ท่านดร. อรพิน และอาจารย์ระวิวรรณ ซึ่งจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญทำให้สมาชิกได้แนวทางในการพัฒนากรอบแนวคิดของตนเองในการวางแผนการนำเสนอหัวข้อในการพัฒนาผลงานทางวิชาการที่จะนำไปสู่การเป็นนวัตกรรมในการบริหารจัดการศึกษาในหน่วยงานที่ตนเองรับผิดชอบ แตกต่างกันไปตามสภาพปัญหา
«สรุปสาระสำคัญที่กลุ่มได้เรียนรู้
ในสัปดาห์นี้สมาชิกในกลุ่มได้เรียนรู้เกี่ยวกับการสังเคราะห์ความรู้ ความคิด มีการสรุปเป็นองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วมมากขึ้น การพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้มีความเป็นกันเอง ทุกคนสร้างบรรยากาศให้สมาชิกในกลุ่มสนทนากล้าแสดงความคิดเห็น และต่อยอดองค์ของรู้ซึ่งกันและกันได้อย่างเป็นระบบ
«ข้อสังเกตจากผู้บันทึก (ถ้ามี)
ผ่านมา 3 สัปดาห์ จากการสังเกตการร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของสมาชิกในโครงการ ในภาพรวมสมาชิกทุกคนมีพัฒนาการในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบก้าวกระโดด ในระยะเวลาแค่ 3 สัปดาห์ซึ่งส่งผลให้สมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอจะเกิดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ (สังเกตจากตัวเองนอนไม่ค่อยหลับสมองมันคิดอยู่ตลอดเวลา จุดซีนแนปส์ (synapse) แอ็กซอน และ เดนไดรต์ในสมองเพิ่มขึ้นและเชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ สมองเริ่มหาทางลัดในการเรียนรู้ เพราะฉนั้นโดยส่วนตัวจึงพยายามเข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้ครบ 21 ครั้ง ตามทฤษฎี เพื่อให้สมองสร้างไมอาลีนเข้ามาห่อหุ้มไว้แล้วจะไม่ลืม เมื่อสิ้นสุดโครงการจะได้ทำเป็นกิจนิสัยแบบยั่งยืน นอกเรื่องคะ....) และเชื่อว่าจากผลการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในไตรสัปดาห์แรกน่าจะส่งผลให้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในไตรสัปดาห์หลังให้เกิดประสิทธิภาพอย่างแน่นอนคะ
ข้อความ "... ซึ่งส่งผลให้สมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรมอยางสม่ำเสมอจะเกิดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ..." เป็นสิ่งที่ผู้บริหารโครงการ "ประสงค์" ให้เกิดขึ้นค่ะ เป็นกระบวนการของ input> process > output ค่ะ เนื่องจากเมื่อบุคคลมีการรับรู้ข้อมูลจากแง่มุมต่าง ๆ ที่หลากหลาย มาหลอมรวมกับความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ในตัว ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นองค์ความรู้ที่ถูกจัดระบบ และจะฝังแน่นเป็นความรู้ที่คงทนมากกว่าการเรียนรู้จากการศึกษาด้วยตนเองเพียงลำพัง
คิดถึงสมาชิกที่มีภารกิจมาก... จนไม่สามารถขึ้นมา share กันได้บ่อย ๆ จังค่ะ
input คือการรับรู้ ผ่านอวัยวะรับสัมผัสทั้งห้าของเรา หากเป็นศาสนาพุทธ ก็คงต้องเพิ่มใจเข้าไปด้วย ละกระมัง
process คือ กระบวนการทางปัญญา ในการเชื่อมโยง สิ่งใหม่เข้ากับโครงสร้างความรู้เดิม สิ่งใหม่อาจขัดแย้ง หรือสอดคล้องกับความรู้ที่มีอยู่เดิม ความพยายามในการเชื่อมโยง จึงต้องปรับสมดุลเพื่อลดความขัดแย้งทางปัญญา
output ที่แสดงออกมาในรูปพฤติกรรมต่างๆ เกิดจากการประมวลผลทางปัญญา ก็คือ การปะติด ประต่อ หรือ เชื่อมโยง
หากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหวางสิ่งที่ตนมียังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับสิ่งที่กลุ่มนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความขัดแย้งทางปัญญายังมีอยู่ สมองก็คงจำเป็นที่ปรับต่อไป จนกว่าจะเข้าสภาวะสมดุลย์ กระบวนการทางสังคมจึงเป็นจำเป็นที่ทำให้เกิดเป็นความรู้ที่คงทน
ดังนั้น การจัดการเรียนรู้จึงจำเป็นที่ต้องมีการพบกลุ่มเป็นระยะๆ ครูตู้ไม่สามารถทดแทนครูไสว ที่ยืนอยู่ชั้นเรียนได้ ครูตู้จะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการเรียนรู้ แต่ครูไสวต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดจนสื่อเพื่อช่วยในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในชั้นเรียน
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อความนี้....หากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหวางสิ่งที่ตนมียังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับสิ่งที่กลุ่มนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความขัดแย้งทางปัญญายังมีอยู่ สมองก็คงจำเป็นที่ปรับต่อไป จนกว่าจะเข้าสภาวะสมดุลย์...ตรงกับที่ิคิดไใว้เลย
คุณ นเคศวร... คะ สรุปได้ชัดเจนค่ะ ในฐานะผู้บริหารโครงการนี้ ชื่นชมที่มีผู้รู้คอยให้ข้อคิดเห็นในหลากหลายแง่มุม ได้เจอคุณ นเคศวร 2 ครั้งจากการเข้าบล็อกในวันนี้ หวังอย่างยิ่งว่าจะเจอกันในครั้งต่อต่อไป
... ความขัดแย้งทางปัญญา หากมีการเปิดใจรับและนำไปคิดวิเคราะห์ ความขัดแย้งนั้นย่อมนำมาซึ่งองค์ความรู้ที่มีการแตกแขนง/เชื่อมโยง/ก่อให้เกิดปัญญา มิใช่หรือคะ...
ณ เวลาที่เร่งด่วน ในช่วงเวลาที่อ่อนล้า จะมีสักกีคนที่จะเปิดใจรับและนำไปคิดวิเคราะห์ โถ ...โถ..แอบดูผลงานของทุกท่าน ยังต้องค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป รึอาจช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามก็ได้นะ.. ลุ้น และก็ลุ้น...กว่าจะได้อ่านสิ่งดี ๆ จากความคิดของแต่ละท่าน รอแล้วรอเล่า... แต่ยังไงซะการเปิดใจรับและนำไปคิดวิเคราะห์ ย่อมก่อให้เกิดปัญญาแน่นอนที่สุด...พูดอีกก็ถูกอีก เห็นด้วยเช่นกัน...ระวังโลภมากลาภหายนะ...
ขอบคุณนะคะที่คอยติดตามผลงานของพวกเรา อาจจะช้าหน่อยเพราะเราทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอน การที่จะคิดอะไรแต่ละอย่างต้องรอบคอบ และที่สำคัญถ้าหากว่าสิ่งที่เราทำมันมีประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วยแล้วเรายิ่งต้องอาศัยปัญญามาก ๆ ๆ