๑๖.๓๕ น. สภามหาวิทยาลัยมหิดลสิ้นสุดการประชุม เมื่อวันที่ ๒๓ ก.ค. ๕๑ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและกิจการพิเศษ รศ. นพ. ปรีชา สุนทรานันท์ ถามผมว่า “อาจารย์เหนื่อยไหมครับ” ที่ท่านถามอย่างนี้ก็เพราะในการประชุมมีการโต้แย้งถกเถียงกันอย่างเข้มข้นในวาระเรื่อง ร่างข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคล เป็นเวลาชั่วโมงเศษ เป็นการโต้แย้งระหว่างกรรมการสภาสายคณาจารย์ กับฝ่ายบริหาร โดยมีกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิคอยให้ความเห็นในหลักการที่เน้นการจัดการแบบมีประสิทธิภาพ และให้สติ ในแง่มุมต่างๆ
กรรมการสภาสายคณาจารย์ต้องการให้มีระบบที่เน้น ตัวแทน หรือ participation / representation ฝ่ายบริหารต้องการเน้นความมีประสิทธิภาพในการจัดการ และ strong executive ยิ่งถกเถียงกัน ก็ยิ่งได้ความกระจ่างในหลักการและวิธีการบริหารงานบุคคล และการตรวจสอบประเมินผลงานของฝ่ายบริหาร เป็นบทเรียนแห่งการออกนอกระบบราชการโดยแท้
เดิมคณะทำงานยกร่างข้อบังคับนี้ยกร่างมาในระบบตัวแทน ตามที่ผมบันทึกไว้ที่ http://gotoknow.org/blog/council/194259 แต่ในการประชุมสภาเดือนที่แล้ว กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเตือนว่า ข้อบังคับแนวนี้จะทำให้งานไม่เดิน ทำงานไม่ออก จึงมีการนำกลับไปปรับปรุงใหม่ คณะทำงานก็ยังเสนอมาแนวเดิม แต่ฝ่ายผู้บริหารยืนยันขอเปลี่ยนเป็นแนว strong executive เมื่อกลับลำแบบสวนทางเช่นนี้ การถกเถียงโต้แย้งจึงรุนแรงมาก
แต่ตัวเชื่อมจิตใจของกรรมการสภาไว้ด้วยกันคือความเชื่อถือในความสามารถ ความจริงใจ และรับฟังความคิดเห็นของท่านอธิการบดี ศ. (คลินิก) นพ. ปิยะสกล สกลสัตยาทร ความแตกต่างในความคิดจึงไม่นำไปสู่ความแตกแยก เชื่อไหมว่าหลังจากถกเถียงกันประมาณเกือบชั่วโมงครึ่ง เรามีฉันทามติให้ใช้ข้อบังคับตามแนวที่ฝ่ายบริหารเสนอ โดยมีเงื่อนไขว่าขอให้นำผลการใช้ข้อบังคับดังกล่าวมารายงานสภาหลังใช้ไปครบ ๖ เดือน เป็นการลงมติแบบไม่โหวต แต่ไม่มีคนขัดข้อง และทุกคนแสดงความไว้วางใจท่านอธิการบดีและทีมบริหาร ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ดีมาก
และกรรมการสภาฯ ก็ได้ความรู้เชิงหลักการว่า participation อยู่ในระดับนโยบาย คือสภาฯ ไม่ใช่อยู่ในระดับบริหาร ซึ่งต้องไว้วางใจให้ฝ่ายบริหารเขาดำเนินการ โดยสภาทำหน้าที่ประเมินผลตามที่ระบุใน พรบ.
ผมมองว่า บรรยากาศและสาระในการประชุมสภาฯ ครั้งนี้ จะเป็นการวางพื้นฐานขององค์กรที่มีการจัดการสมัยใหม่ ที่เงิน ๑๐๐ บาท ที่เคยก่อคุณค่า X สมัยอยู่ใต้ระบบราชการ (bureaucracy) จะก่อคุณค่า 2X ในระบบใหม่ แต่จะต้องใช้เวลาทำ change management ไประยะหนึ่ง และบรรยากาศในสภาฯ คราวนี้คือส่วนหนึ่งของกระบวนการ change management คือเปลี่ยนจาก bureaucratic management มาเป็น business-like management ซึ่งประชาคมมหิดลทั้งประชาคมจะต้องทำความเข้าใจ
สิ่งสำคัญที่จะต้องเปลี่ยน คือวิธีคิด (mentality) เปลี่ยนจากคิดแบบราชการ เอากฎเกณฑ์กติกาเป็นตัวตั้ง และสมาชิกในองค์กรตั้งตัวเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง หรือฝ่ายตรงกันข้ามกับผู้บริหาร มาเป็นคิดแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยที่ทุกคน ทุกภาคส่วนขององค์กรร่วมกันลงมือทำเพื่อผลสัมฤทธิ์นั้น ในมหิดลมีฝ่ายเดียว คือฝ่ายมหิดล
การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งคือเปลี่ยนวัฒนธรรม จากวัฒนธรรม low trust เป็นวัฒนธรรม high trust + strong evaluation ซึ่งก็คือวัฒนธรรมองค์กรแบบ business-like นั่นเอง
ผมบันทึกหลักการสำคัญในการทำงาน จากการให้ความเห็นในสภาไว้หลายประเด็น ดังนี้
∆ ในการขับเคลื่อน change ด้วยความไม่มั่นใจ ไม่รู้ว่าการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คนมัก assume worst case scenario เสมอ ทำให้ไม่กล้าเสี่ยงดำเนินการเปลี่ยนแปลง เราต้องไม่ตกหลุมนี้ (วิชิต)
∆ การมีส่วนร่วมให้ร่วมในระดับนโยบาย อย่าเข้าไปร่วมตอนปฏิบัติ (ประเวศ)
∆ การประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้บริหารต้องประเมินระยะยาว อย่าประเมินระยะสั้น มิฉะนั้นผู้บริหารจะทำงานเพียงเพื่อเห็นผลเฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่ทำงานเพื่อความเจริญระยะยาว (ผมคิดถึงราชการขึ้นมาทันที) ยิ่งมหาวิทยาลัยเป็นองค์กรที่งานมีธรรมชาติเห็นผลระยะยาว ยิ่งต้องประเมินผลงานผู้บริหารระยะยาว (วิชิต)
∆ การเปลี่ยนแปลงยุบรวมองค์กร หรือปฏิรูประบบ ต้องไม่เริ่มที่โครงสร้าง (O – Organization) ต้องเริ่มเป็นขั้นตอน คือ P – P – P – O ได้แก่ P – Purpose แล้วจึงต่อด้วย P – Principle และ P – Participation แล้วจึง O – Organization ซึ่งผมตีความว่าต้องสร้างความเข้าใจในหมู่ผู้ปฏิบัติงาน ด้วย C – Communication และด้วย S – Socialization แล้วจึงออกข้อบังคับกำหนดโครงสร้างองค์กรภายหลัง
∆ การประเมินผู้บริหารอย่างจริงจัง เป็นกลไกกำกับการให้อำนาจการจัดการแบบ strong executive (ธวัชชัย)
ผมสรุปกับตนเองว่า สภามหาวิทยาลัยในระยะเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ เป็นห้องทำงานและห้องเรียนไปในเวลาเดียวกัน เรากำลังเรียนวิชาเปลี่ยนกระบวนทัศน์ร่วมกัน
วิจารณ์ พานิช
๒๔ ก.ค. ๕๑
ไม่มีความเห็น