ใคร? ทำให้เด็กด้อยโอกาส


เด็กด้อยโอกาส เพราะ โอกาสไม่มี หรือมีแล้วถูกจำกัด ?

เด็ก ไม่ใช่ผ้าขาว  เป็นประโยคที่ผุดขึ้นมาในความคิดเกือบทุกครั้งที่โสตประสาทได้สัมผัสประโยคน้ำเน่า อาทิเช่น เด็กคือผ้าขาว  หรือ เด็กคือผู้บริสุทธิ์ อะไรทำนองนี้ จากปากของผู้ที่อาจจะหวังดี เพราะในสภาพจริง ในหนึ่งวินาที ที่มีเด็กคลอดออกมาพร้อม ๆ กับเสียง อุแว้ !” ในแต่ละมุมโลกหรือแค่ในเมืองไทย ที่มีบริบทแตกต่างกัน เด็กคนหนึ่งคลอดบนเตียงที่แทบจะปูด้วยทอง เด็กคนที่สองคลอดที่สถานีอนามัยใกล้สลัมน้ำเน่าขัง เด็กคนที่สาม คลอดโดยหมอตำแยพื้นบ้านบนฟากไม้ไผ่ผุ ๆ ของกระต๊อบในไร่หมุนเวียน กลางป่าเขา เด็กคนที่สี่ คลอดที่โรงพยาบาลรัฐในสถานะที่มีพ่อและตา เป็นคนเดียวกัน เด็กคนที่ห้าคลอดในของพยาบาลของเรือนจำหญิงที่แม่โดนจองจำคดียาเสพติดอยู่......นี่แค่ห้าคน  เด็กคือผ้าขาวตรงไหน ? แต่ละคนเกิดมาพร้อมกับสีสัน อย่างน้อยก็ชาติกำเนิด หรือแม้แต่การนับถือศาสนาที่ถูกตีตราจองไว้แต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสังคมเองต่างหากที่กลับยัดเยียดผลักไสความมีสีสันเหล่านี้ ไปสู่ความกระดำกระด่างทางสังคม โดยการนิยามจัดหมวดหมู่แยกแกะดำ-แกะขาว มากกว่าจะมุ่งแต่งแต้มลวดลายให้เหมาะสมกับพื้นหลังที่มีสีสันแตกต่างกัน การนิยามจัดกลุ่มเด็กตามปัญหามักจะถูกล่าวอ้างว่าเพื่อง่ายต่อการจัดการ เลยยิ่งไม่แน่ในว่าการจัดการปัญหาเด็ก เอาเด็กหรือคนจัดการเป็นตัวตั้ง เพราะท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้น ทฤษฏีตีตรา ที่ทำให้คนทำงานเองติดกับดักทางความคิดที่จะต้องเข้ามาจัดการเฉพาะปัญหา ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นต้องแยกส่วนจัดการตามความถนัด ความสนใจ และแหล่งทุน

แม้จะมีพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ที่อิงรากฐานจากอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่คนทำงานทั้งรัฐและเอกชนพากันกอดไว้เป็นสูตรสำเร็จ ซึ่งแทนที่จะคุ้มครองก็กลับกลายเป็นควบคุมให้อยู่ในกรอบหรือสถานที่ที่กำหนดให้ภายใต้คำที่ดูสวยหรู คุ้มครองสวัสดิภาพ แต่แทบจะไม่ถามเด็กว่าต้องการให้คุ้มครองหรือไม่ภายใต้การจัดการแบบ ตามใจฉันของระบบที่ถูกกล่าวอ้างว่าดีเลิศทั้งหลาย….การมาประชุมรวม ๆ กันมักจะถูกอุปโลกน์ให้เป็น การแก้ปัญหาอย่าบูรณาการ หรือไม่ ?

แรงจูงใจคือการได้อยู่กับเด็ก เห็นเด็กที่เขาลำบากกว่าเราทำให้รู้ว่าชีวิตเรายังมีคนที่ด้อยกว่า หรือ เด็กกลุ่มเป้าหมายที่ทำงานด้วย เป็นเด็กด้อยโอกาส ที่ต้องได้รับการพัฒนา เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่สะท้อนวิธีคิดของคนทำงานที่มองเด็กคือ กลุ่มเป้าหมาย ที่ ด้อยโอกาส กว่า ตนเองอยู่ในบทบาทและฐานะทางสังคมที่เหนือกว่า ทุก ๆ ด้าน ดังนั้น ฉันมีหน้าที่ช่วยเหลือเด็ก !   ซึ่งวิธีคิดแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงมายาคติที่ฝังอยู่ในหัวของผู้ปฎิบัติติงานซึ่งยังไม่เข้าถึง คุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นการ ผลิตซ้ำความด้อยโอกาสอย่างไม่รู้ตัว หรือไม่?

จึงเป็นที่มาของการเรียกหาความเป็น มืออาชีพ จากคนทำงานด้านเด็กที่ต้องมีมาตรฐานสากลมากำกับ ทั้งในเรื่องของ ทีมสหวิชาชีพ จริง ๆ ที่มิใช่ ปาหี่เชิงกระบวนการ หากแต่ต้องมีทั้งความแม่นยำ ชัดเจนและยืดหยุ่นในตัวบทกฎหมาย มีกระบวนการหล่อหลอมและปรับทัศนคติที่ใกล้เคียงกันในทีมงาน ไม่ยึดติดกรอบหรือประเด็นเดียว มีทักษะเชิงเดี่ยวที่ชำนาญและบูรณาการรวมเป็นทีม กัดไม่ปล่อย และต้องลดทอนความสำคัญของ หน้าลง ยกระดับความสำคัญของเป้าหมายให้มากขึ้น 

หากปัญหาเด็กซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาสังคมที่มีความซับซ้อนก็ต้องใช้หลัก การจัดการเชิงซ้อน ที่ให้ความสำคัญกับความแตกต่างหลากหลายของปรากฏการณ์ที่ไม่เหมือนกัน อย่าดันทุรัง จัดการภายใต้กรอบระบบเดียวที่อิงอยู่กับกฎหมายที่ใช้ไม่ได้จริงในทุกบริบทหรือมักจะถูกเรียกสวยหรูว่า การจัดการเชิงบูรณาการ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังพบภาพของต่างคนต่างทำ ต่างกอดทุน กอดจำนวนตัวเลขและข้อมูลเพื่อคอยต่อรองกับแหล่งทุน ราวสุนัขในรางหญ้า เหมือนดั่งตัองการกุมชะตากรรมของใคร หลาย ๆ คน ที่ถูกทำให้ด้อยโอกาสไว้ ซึ่งกลับกลายเป็นดาบสองคมที่คอยลิดรอนโอกาสอันพึงมีพึงได้อย่างน้อยที่สุด ก็ได้รู้ว่า เขามี ศักยภาพ คุณค่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ด้อยกว่าคนอื่นในการที่จะสร้างคุณค่าในตนเองให้เกิดขึ้นมากกว่าที่จะต้องพึ่งพา และพึ่งพิงปัจจัยทั้งหลายจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลักดันเขาเหล่านั้นไปสู่ความเป็น ชายขอบภายใต้คำนิยามหรือวาทกรรมที่ว่าด้วย เด็กด้อยโอกาส

หมายเลขบันทึก: 195673เขียนเมื่อ 22 กรกฎาคม 2008 10:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 เมษายน 2012 13:27 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ทุกส่วนทั้งภาครัฐ และเอกชน ผู้เกี่ยวข้อง ต้องช่วยกันนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท