ในความพยายามหารูปแบบการทำงานกับหน่วยงานภาครัฐ อาจารย์ภีมได้ทดลองใช้โมเดลปลาทู
ส่วนตัวเราเอง การจัดเสวนาแผนแม่บทการเงินระดับฐานรากที่ธรรมศาสตร์ ได้แง่คิด และทำให้คิดต่อหลายประการ รวมถึงมีประเด็นเชื่อมโยงมาสู่วิธีการทำงานกับภาครัฐ
ประการแรก การขับเคลื่อนแผนแม่บทการเงินฐานรากนั้น ต้องการการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน แต่การนำเสนอของ 3 หน่วยงานในวันนั้น บอกให้รู้ว่าหน่วยงานยังคงทำงานไปตามวิถีตัวเอง จุดเชื่อมอยู่ตรงไหน ยังไม่ชัดเจน
ประการที่สอง เมื่อคิดต่อว่า แผนนั้นมาจากการประชุมระดมสมองร่วมกันของหลายฝ่ายหลายครั้ง ก็อดทำให้คิดเปรียบเทียบไม่ได้ว่า ที่มาของแผนก็คล้ายๆกับการสร้างแผนชุมชน แต่....
กระบวนการสร้างแผนชุมชนนั้น ชาวบ้านมาคุยร่วมกันในหลายๆเวที แท้จริงเป็นกระบวนการเรียนรู้ กุศโลบายในการสร้างการเรียนรู้ผ่านการทำแผนชุมชนนั้นมีพลังมาก … เพราะเปลี่ยนวิธีคิดของคนร่วมทำแผนได้ในเบื้องต้น
คำถามคือ กระบวนการสร้างแผนใดๆในระดับชาติด้วยวิธีการประชุมระดมสมองนั้นเป็นกระบวนการเรียนรู้หรือไม่ คำตอบคือ ใช่ แต่หากถามว่า การเรียนรู้นี้นำไปสู่พลังอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นในตัวคนทำแผนเหมือนกระบวนการเรียนรู้ในแผนชุมชนหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่
การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในการประชุมต่างๆระหว่างหน่วยงานนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเนื่องอะไรที่ชัดเจน ... เป็นเพราะอะไร (ยกเว้นเห็นผลออกมาเป็น “แผน” ซึ่งอาจจะ “นิ่ง” ในที่สุด)
การเรียนรู้เป็นผลพลอยได้จากการทำแผน...แต่ไม่มีพลัง อาจเปลี่ยน “ข้อมูล”แต่ไม่ได้เปลี่ยน “วิธีคิด” ของคนเข้าร่วมทำแผนเพราะเป็นการเรียนรู้เรื่องที่ต้องทำเพื่อคนอื่น เขาไม่ได้เรียนรู้เพื่อชีวิตด้วยชีวิตอย่างการเรียนรู้ของชาวบ้านในการทำแผนชุมชน และไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “การอยู่รอด” ของตัวผู้ร่วมทำแผนหรือแม้แต่ขององค์กร การเรียนรู้จะมีพลังเฉพาะคนที่มีจิตสำนึกสาธารณะเพื่อส่วนรวมเป็นทุนเดิม
เวทีเรียนรู้อาจเป็นเครื่องมือที่มีพลังในการทำงานกับชาวบ้านแต่ไม่ใช่พลังสำหรับการทำงานกับหน่วยงานภาครัฐ
พวกเราได้เครื่องมือทำงานกับชาวบ้านแล้ว แต่ยังหาเครื่องมือทำงานกับรัฐไม่เจอ !!!
ถามว่า โดยปกติ อะไรที่เป็นตัวขับเคลื่อนการทำงานของรัฐ
ตอบว่า น่าจะเป็นระบบ “สั่งการและควบคุม” และ ระบบ “ความดีความชอบ” ซึ่งเป็นระบบ top-down
หลายคนที่อยากเปลี่ยน จึงต้องวิ่งขึ้นไปข้างบนสุดก่อน คือ แสวงหาอำนาจรัฐ นักวิชาการต้องการสร้างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้รัฐรับลูกไปปฏิบัติ ปราชญ์ชาวบ้านที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงก็วิ่งขึ้นไปเคลื่อนไหวอยู่ในระดับบนนั้น แผนที่ทำมาแบบมีส่วนร่วม ถ้าไม่ถูกบรรจุเป็นนโยบายก็เหมือนจะนิ่ง
คำถามกลับมาอยู่ที่จุดคล้ายๆเดิมว่า นักวิชาการที่ไม่ได้วิ่งขึ้นไปอิงอำนาจรัฐจะทำอย่างไรจึงจะให้รัฐรับลูก...นำข้อเสนอไปแปลงเป็นนโยบาย
คำตอบกลับมาอยู่ที่จุดเดิมว่า พวกเราได้เครื่องมือทำงานกับชาวบ้านแล้ว แต่ยังหาเครื่องมือทำงานกับรัฐไม่เจอ !!!
เพื่อนสายเอ็นจีโอบอกว่า ... อย่าไปยุ่งกับรัฐ....บอกกี่ครั้งแล้ว...
เพื่อนสายวิชาการอิงรัฐบอกว่า ... ให้เข้าไปอยู่ในบอร์ดนโยบายของหน่วยงานต่างๆ...
เพื่อนสายวิชาการบริสุทธิ์บอกว่า .....ก็เสนอนโยบายไป ... รัฐจะทำหรือไม่ก็เรื่องของเขา ..หมดหน้าที่ของเราแล้ว...
ที่จริงถึงนโยบายดี ก็ยังติดภาคปฏิบัติอีก... อย่าไปยุ่ง(คาดหวัง)กับรัฐ.. อาจเป็นคำตอบสุดท้ายจริงๆ
สวัสดีค่ะอ.ปัท วันก่อนที่มีการประชุมร่วมกับสภาเศรษฐกิจฯ เรื่อง การสร้าง
ความเข้มแข็งของสถาบันการเเงนภาคประชาชน มีองค์กรการเงินเข้าร่วมกันอย่างหลากหลาย อาจารย์ไปด้วยหรือเปล่าค๊ะ แนวโน้มการเกิดสถาบันการเงินภาคประชนระดับชาติแบบกรามีนแบ็งค์ ในบังคลาเทศ คงอีกไกลนะคะ
สวัสดีค่ะคุณพัช
ได้เข้าไปฟังค่ะ เสียดายที่ไม่มีโอกาสถามวิทยากรจากบังคลาเทศ ทำให้เรื่องที่รับฟังเป็นเรื่องกว้างๆ ยังไม่มีประเด็นเฉพาะเจาะจง ที่จะนำมาประยุกต์ใช้ ที่ตัวเองสนใจอยู่ตอนนี้คือ "การทำให้เป็นสถาบัน" (จะระดับชาติหรือระดับท้องถิ่นก็ไม่เป็นไร)
สถาบันโดยพฤตินัย คือมีกติกากลุ่ม กติกาชุมชน มีระบบบริหารจัดการที่ดี สมาชิกมีส่วนร่วมและมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการบริหารการเงินในระดับหนึ่ง ผู้นำเก่าเปลี่ยนไปผู้นำใหม่ก็ดูแลต่อได้ ...หวังว่า การ "มีกฎหมายรองรับ" คงจะช่วยให้สถาบันโดยพฤตินัยเข้มแข็งขึ้น
สถาบันที่มีกฎหมายรองรับ เป็นสถาบันโดยนิตินัย