เริ่มงาน


แม่น้ำสาละวิน สายน้ำแห่งความลึกลับ สายน้ำแห่งมนต์เสน่ห์ที่ใครๆก็อยากมาเยือน

      ใครจะรู้ว่า วันหนึ่ง แม่น้ำที่เคยมาเที่ยวจะกลับกลายมาเป็นแม่น้ำที่ต้องเดินทาง มาทำงานตลอดในระยะเวลา  14 ปี

              

             20 ธันวาคม 2537   เก็บสัมภาระใส่กระเป๋าเป้ทหารสีเขียว  ตื่นเต้นที่จะได้เข้าพื้นที่กับการทำงานสถานีอนามัย เต็มตัวกับ การเป็นข้าราชการบรรจุใหม่ กราบลาพ่อ ลาแม่  นั่งรถยนต์รับจ้าง  สภาพรถคงผ่านงานมาอย่างโชกโชน       มีรอยบุบ รอยยุบและขีดข่วนเต็มรถไปหมด  ค่ารถ 50  บาท   ที่นั่งเป็นเพียงไม้กระดานพาดขวางเป็นแนวยาวเพื่อให้นั่งได้หลายคน  ถ้าผู้โดยสารไม่ถึง 5 คน รถไม่ออกจากท่า  ต้องรอต่อไปจนกว่าจะมีผู้โดยสาร  กว่ารถจะออกได้ เกือบสายๆ  รถวิ่งไปตามถนนที่กำลังสร้างใหม่โดยการทางจังหวัดตาก  บางครั้งต้องลงไปในลำห้วยตะลุยกันไปคล้ายรายการสารคดี   บางครั้งก็ลุ้นจนตัวโกร่ง เวลารถติดหล่ม เพื่อให้รถข้ามลำห้วยไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง

         ระหว่างที่นั่งรถโยกเยก ไปตามลำห้วย ทำให้ผมนึกถึง ชีวิตครั้งหนึ่งที่ได้ล่องเรือมาเที่ยวตอนมัธยมปลาย  ขับมอเตอร์ไซด์ มากับเพื่อนๆ เสื้อผ้า ผมเผ้า เต็มไปด้วยฝุ่น ขับรถลัดเลาะไปตามลำห้วย  รถไปไม่ไหวก็เข็น  เพื่อจุดหมายข้างหน้า คือแม่น้ำสาละวิน  

            ถึงบ้านแม่สามแลบ   ปัดฝุ่นที่ติดตามเสื้อผ้า  รองเท้า  ผมแดงยังกะฝรั่ง   บ้านแม่สามแลบ  ร้านรวงเต็มสองข้าง     ชุมชนปลูกบ้านเรือนติดกันเป็นแนวยาวตลอดสองฝั่ง แม่น้ำสาละวิน  หลังคาเป็นใบตองบ้าง เป็นหลังคาสังกะสีบ้าง  ร้านค้าซื้อขายสินค้ากันมากมาย ผู้คนเดินกันขวักไขว่ทั้งคนไทย ฝรั่ง พม่า กะเหรี่ยง มุสลิม คะยา  นานาชาติเต็มไปหมด

            แม่น้ำสาละวินแม่น้ำแห่งมนต์เสน่ห์ ที่ใครๆต่างก็อยากมาเห็น  สาละวินที่ปรากฏในม่านสายตา  ลึกลับ  กว้างใหญ่  เสียงน้ำที่กระทบกับโขดหินที่ขวางอยู่กลางน้ำ  เกรี้ยวกราด   หมุนวนไปมา  ไหลลัดเลาะ  คดเคี้ยว ตามร่องภูเขา สายน้ำสีเขียว ใส  กั้นแบ่งดินแดนระหว่างไทย และพม่า  เรารีบพากันวิ่งไปริมฝั่งน้ำ  สัมผัสสายน้ำอันเย็นเฉียบ  สามารถแช่เบียร์เย็นๆได้สบาย

           แต่ครั้งนี้เป็นการเดินทางเพื่อไปทำงานกับผู้คนในพื้นที่ชายแดนไทย พม่า  ที่บ้านแม่สามแลบ ผู้คนก็ยังมากมายเหมือนเดิม ร้านรวงมีมากขึ้นกว่าตอนที่มาเป็นเด็กมัธยม  เรือติดธงชาติสหภาพกะเหรี่ยงและ   ธงชาติไทยจอดเรียงรายเพื่อรอรับผู้คนที่จะท่องเที่ยวและไปยังหมู่บ้านที่อยู่ริมฝั่งสาละวิน

       มีคนขับเรือมา แย่งกันถามคนที่มาเยือนแม่สามแลบ  ถามว่าจะไปไหน   ถ้าเหมาเรือออกจากท่าทันที จนผมตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปกับใครดี   ลุงชิดหม่อง   ชาวไทยใหญ่  ผู้ใจดี  บอกกับผมว่า มีเรือลงไปสบเมย ไม่ต้องเสียค่าเหมา  แกพาไปลงเรือทหารกะเหรี่ยง  คนในเรือมีแต่ทหารกะเหรี่ยงตัวเล็กๆ  ผมนั่งเรือไปกับ นายพลลาทู  นายทหารจากค่ายมาเนอปลอร์ เคี้ยวหมากปากแดงนั่งอยู่ในเรือ 

           เรือแล่นลงไปทางใต้มุ่งสู่บ้านสบเมย ระหว่างทางเรือแวะรับทหารกะเหรี่ยงที่ด่านปอมือท่าขึ้นมาบนเรืออีกสี่คน  แต่ละคนถือปืนคาร์บิน   ปากกระบอกปืนมีใบหญ้าสาบเสืออุดรูไว้  พูดกันเป็นภาษากะเหรี่ยง  สรุปแล้วในเรือมีผมคนเดียวที่เป็นคนไทย  หัวใจเริ่มเต้นแรง  ข้างหน้าจะเจออะไรอีก   เรือแล่นมาถึงจุดที่แม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน  ในที่สุดก็มาถึงบ้านสบเมย   ผมขอบคุณคนขับเรือ และพยักหน้าขอบคุณนายพลลาทู เรือเลี้ยวเข้าไปในเขตพม่า   ผมแบกเป้ เดินขึ้นฝั่ง  ภาพแม่น้ำของแม่น้ำเมยที่ไหลมาจากอำเภอแม่สอด ผ่านท่าสองยาง ไหลย้อนขึ้นเหนือมาบรรจบแม่น้ำสาละวินแล้วไหลวกกลับไปในพม่า ลงสู่อันดามัน  แม่น้ำสองสีตัดกันระหว่างภูเขาสีเขียวที่เป็นฉากอยู่เบื้องหลัง ธรรมชาติช่างสรรสร้างอย่างลงตัวและงดงาม

            ผมเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ถามหาที่ตั้งสถานีอนามัย   พอไปถึงพบอาคารปูนทรงสูงใต้ถุนโล่ง   อยู่ท่ามกลางป่าที่รก  ข้างๆมีการก่อสร้างอาคารแบบแปลนใหม่ตามโครงการทศวรรษการพัฒนาสถานีอนามัย  เสาปูน  กองหิน  กองทราย  ระเกระกะไปหมด  มีบ้านพักเรือนไม้อยู่หนึ่งหลัง  อีกหนึ่งหลังเป็นบ้านพักที่สร้างด้วยปูนมีครูผู้หญิงมาขออาศัยอยู่   2 คน เนื่องจากโรงเรียนไม่มีบ้านพัก     แต่ยังไม่เจอใครมาเพราะลงไปประชุมในเมืองกันหมด                    

           ค่ำลงมีเพียงแสงเทียนวับแวม   คืนแรกกับการมานอนในพื้นที่ต่างถิ่นกว่าจะก้าวพ้นราตรีอันยาวนานไปได้  ทำให้ผมรู้สึกกระสับกระส่าย  นอนไม่ค่อยหลับ  หยิบหนังสือมาอ่านใต้แสงเทียน ก็ทนฝูงริ้นมากัดหน้าตาไม่ไหว  จึงเป่าเทียนดับแล้วล้มตัวลงนอน

          รุ่งเช้าแนะนำตัวเองให้กับชาวบ้านในหมู่บ้าน  เริ่มงานในการให้บริการตลอดวัน แต่ก็คุยกันไม่รู้เรื่อง  ภาษาเหนือไม่สามารถสื่อสารกับชาวบ้านได้เลย  ผมใช้เวลานานมากสำหรับการตรวจคนไข้เพราะต้องใช้ล่าม ที่เป็นนักเรียน   ถามอาการ แนะนำการใช้ยา  ช่วยแปลเป็นภาษากะเหรี่ยงให้ชาวบ้าน    

         ช่วงพลบค่ำมีเด็กนักเรียนมานั่งร้องเพลงชาติไทย เสียงอันเจื้อยแจ้ว ดังกังวานข้างกองหินที่ก่อสร้าง   ผมเดินลงมาถามเด็กๆ ทักทายถามชื่อ  เรียนอยู่ชั้นไหน  เธอมีเพลงอะไรอีกไหม  ร้องให้หมอฟังหน่อยสิ สดุดีมหาราชา ครับ ร้องต่อเลยผมบอก  เด็กร้องเพลงได้ครึ่งเพลง   เสียงปืนดังขึ้นจากฝั่งพม่า เสียงปืนครกยิงดังตูมๆ     ชาวบ้านข้างสถานีอนามัย   ส่งเสียงเอะอะ วิ่งเข้าบ้าน ผมรีบบอกให้เด็กกลับบ้าน จากนั้นวิ่งไปหลบที่ถังเก็บน้ำฝน  หลังบ้านพัก

           เสียงปืนยิงตอบโต้กันไปมา  ปานประทัดแตก  ผมพึ่งรู้ว่าการสู้รบเป็นยังไง  เราดูในหนัง สนุก สะใจในฉากบู๊     แต่พอเจอเหตุการณ์จริง  ใจผมเต้นรัว  ทั้งกลัว ทั้งสั่น  กลัวโดนลูกหลงพลัดตกข้ามฝั่งมา  เสียงปืนดังอยู่นานกว่าจะเงียบไป  ท่ามกลางฟ้าที่มืดมิด ผมค่อยๆพาตัวเองขึ้นไปอยู่บนบ้านพัก  ไม่กล้าใช้ไฟฉาย         กลัวตกเป็นเป้า  นอนขดตัวในที่นอน  ใจภาวนาให้ฟ้าสว่างไวๆ  นอนใจเต้นตุบๆ กว่าจะข่มตาลง  ก็เช้าพอดี

คำสำคัญ (Tags): #แม่น้ำสาละวิน
หมายเลขบันทึก: 193772เขียนเมื่อ 12 กรกฎาคม 2008 14:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:17 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

...มีหลายหมื่นพัน ล้านฅน ที่ไม่มีโอกาส ได้เก็บเกี่ยว "รสชาติแห่งชีวิตดีๆ"เช่นเฉกนี้

...สักวันหนึ่ง เราคงเล่าให้ลูกหลานที่มาล้อมวงนั่งฟังปู่ของตนเองฟัง อย่างได้อรรถรสส่วนเจ้าหลานตัวน้อย ก็นั่งอ้าปากฟังปู่เล่า อย่างภาคภูมิใจ...

เชื่อสิ น้องพี่

..แสดงตัวตน..

บนถนนชีวิต...สายฝัน

มีอีกหลายคนที่อิจฉาชีวิตคุณหมอ ที่ได้อยู่กับแมน้ำ สาธาร ภูเขา ทุกวัน ......เป็นกำลังใจให้หมอ สู้ สู้

อยากมาเที่ยวหาบ้างแจ้งด้วยสะดวกยังไง วันไหน ช่วงไหนดี คิดถึงเพื่อนนะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท