ได้มีโอกาสไปเยี่ยมโรงเรียนที่มีนักเรียนชาวเขาอาศัยอยู่ โดยเฉพาะโรงเรียนที่เปิดใหม่ เช่น โรงเรียนบ้านวังน้ำเย็น และ โรงเรียนบ้านศรีคีรีรักษ์ ซึ่งเป็นสาขาของโรงเรียนบ้านหนองปลาไหล ทั้งสองโรงเรียนอยู่ที่ อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก แปลกใจไม่น้อยที่ โรงเรียนที่พึ่งเปิดใหม่แต่มีนักเรียน เกือบ 200 คน ก่อนหน้านี้นักเรียนเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหนมา ได้ทดสอบความสามารถในการอ่านและเขียนของนักเรียน พบว่ายังอ่านเขียนได้ไม่คล่องนัก ได้ถามนักเรียนว่าเรียนที่ไหน ส่วนใหญ่ไปเรียนอยู่ตามโรงเรียนในเครือของมูลนิธิทางศาสนา ในต่างจังหวัด ได้พูดคุยกับเด็กชายนู นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองปลาไหล ซึ่งมีบ้านอยู่ที่บ้านปางสังกะสี ถามว่าทำไมไม่เรียนที่ปางสังกะสี (โรงเรียนศรีคีรีรักษ์) ก็ทราบว่าได้อาศัยอยู่กับพระอาจารย์ (พระสงฆ์) ที่วัดหนองปลาไหลซึ่งอยู่ใกล้โรงเรียนจึงเรียนที่นั่น ถามว่าก่อนหน้านี้เรียนอยู่ที่ไหน ทราบว่าพระอาจารย์นำไปเรียนที่โรงเรียน....ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ชั้นอนุบาล แล้วก็ย้ายตามพระอาจารย์ไปเรื่อย หลายจังหวัด ได้เรียนตามโรงเรียนในเครือของมูลนิธิเรื่อยมา จนปีนี้ย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ พระอาจารย์ก็เลยให้มาเข้าโรงเรียนบ้านหนองปลาไหล (คุณครูบอกว่าพระอาจารย์นำมาฝากเรียนไว้ก่อน แต่ไม่มีหลักฐานการเรียนมาเลยสักอย่าง) ขณะนี้อยู่ชั้น ป.3 สามารถอ่านได้คล่องแต่เขียนไม่ได้เลย นูบอกว่าอยากอยู่ที่กรุงเทพมากกว่า เพราะมีคนมาบริจาคข้าวของ เยอะดี ได้กินแต่ของดี ดี (อยู่ที่นี่เป็นวัดบ้านนอก คนทำบุญคงไม่ค่อยมีปัจจัยถวายมากมายนัก ) จากการบอกเล่าของนู สามารถประมวลได้ว่า ขณะที่เรียนอยู่ที่อื่นนั้นระบบการเรียนไม่ค่อยมีความสุข มีการลงโทษที่รุนแรง มีการใช้แรงงาน แต่ความสุขของนูอยู่ที่การได้กินดี แม้จะถูกกดขี่หรือได้รับการลงโทษที่รุนแรง ฟังนูเล่าแล้วสะท้อนใจมาก ชีวิตของเด็กชาวเขาที่ทุกคนอยากจะช่วยเหลือตามวิถีทางของตน พระสงฆ์เองก็ปรารถนาดีเห็นเด็กมีชีวิตอยู่บนเขาบนดอยดูแล้วลำบาก (ตามความเข้าใจของเรา ทั้ง ๆ ที่มันเป็นวิถีชีวิตของเขา) ก็ปรารถนาจะช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ พาติดสอยห้อยตามไปอยู่ตามวัดต่าง ๆ ดูแล้วกรรมจะตกอยู่ที่เด็กหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะถ้าพระอาจารย์ย้ายสำนักอีก นูก็คงต้องเร่ร่อนตามไปด้วยอีกแน่นอน
ไม่มีความเห็น