ลดความอ้วนด้วยสมาธิ


                ขณะที่ผู้เขียนนั่งมองพุงย้อยของตนเอง ให้นึกเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ย้อนคิดต่อไปว่า อะไรเป็นที่มาของความอ้วน หากเราเป่าลมเข้าไปในลูกโป่ง เป่าเข้าไปมากเท่าไร ลูกโป่งก็จะอ้วนมากขึ้นเท่านั้น ร่างกายของคนเราจะเหมือนลูกโป่งหรือไม่ คงต้องถามนักวิทยาศาสตร์ดู เท่าที่รู้คือ อ้วนมากแสดงว่าไขมันมาก ไขมันมาจากไหน ก็มาจากอาหาร ดังนั้น อาหารจึงเป็นต้นเหตุของความอ้วน

                วัยเยาว์เรามักชอบเด็กอ้วนท้วนสมบูรณ์ น่าหยิก น่าบิดเนื้อให้ขาด เมื่อโตขึ้นมา ความอ้วนไม่ใช่สิ่งที่น่าพึงพอใจ เพราะคนอ้วนมักมีโรคมาก ดาราทั้งหลายจึงพยายามทำตัวเองให้ผอม บางคนเหลือแต่กระดูก ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ดาราหลายคู่มีอันต้องเลิกรากันไป เข้าใจว่า ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่มีกระดูกเป็นแน่ (ฮาฮา อันนี้แซวเล่น)

                เข้าสู่วัยกลางคนทั้งหญิงชาย ดูจะอุ้ยอ้ายเมื่ออ้วน จะเดินเหินไปไหนมาไหน ดูจะลำบากลำบนไปหมด ดังนั้น ต้องรักษาสุขภาพอย่าให้อ้วนและอย่าให้ผอมตั้งแต่ในวัยที่พอจะตั้งตัวได้ หวนนึกถึงสมาธิ จะมีส่วนช่วยให้ความอ้วนลดลงได้หรือไม่

                สมาธิ เป็นคำชาวบ้านที่พูดกันถึงเรื่องการฝึกฝนตนเองเพื่อให้จิตสูง นิ่ง สงบกว่าจิตสามัญชน ภาษาที่พระเขาสอนกันคือ กัมมัฏฐาน แบ่งออกเป็น ๒ อย่างคือ ๑) สมถกรรมฐาน กรรมฐานที่เป็นเครื่องมือให้ใจสงบ ๒) วิปัสสนากรรมฐาน กรรมฐานเพื่อการพัฒนาปัญญาให้ปราดเปรื่อง

                การฝึกสมาธินอกจากจะทำให้ใจสงบแล้ว ผู้เขียนเข้าใจว่า ทำให้ลดความอ้วนได้ด้วยโดยเฉพาะกรรมฐานที่ว่าด้วยเรื่อง “อาหาเรปฏิกูลสัญญา” การพิจารณาอาหารว่าเป็นของปฏิกูล

                เราจะพบว่า ในคราวที่เราชวนกันไปกินอาหาร เราจะเลือกร้านอาหารที่สะอาด อาหารอร่อยถูกปาก บรรยากาศต่างๆให้น่ารื่นรมในระหว่างการกินอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่สะอาด แต่ถ้าอาหารที่เราสั่งมานั้นมีแมลงวันหัวเขียวตัวโตอยู่ในจาน หรือมีหนอนที่เราเคยเห็นมันชอนไชอยู่ในศพสุนัขที่เน่าเหม็นอยู่ริมถนน หรือมีแมลงอื่นๆ อันมิพึงประสงค์ “ยี้” นี้คือเสียงที่จะออกมาจากผู้กำลังอยากจะกินอาหาร จากนั้นตามมาด้วย “นี่ ผู้จัดการร้านอยู่ไหน ออกมาดูนี่หน่อย ทำได้อย่างไรกับอาหารแบบนี้ พอๆ ที่สั่งไว้ไม่ต้องเอามาอีกแล้ว เดี้ยนจะไม่เข้าร้านนี้อีก” พร้อมกับสะบัดหน้าเชิดเดินก้นบิดออกจากร้านไป

                คราวนี้ลองมาพิจารณาดูว่า อาหารที่ว่าสะอาดนั้นมันสะอาดจริงหรือไม่ หรือว่า อาหารนั้นเป็นของปฏิกูลอย่างในคำว่า “อาหาเรปฏิกูลสัญญา”

                ผู้รู้กล่าวสอนว่า หากใครต้องการฝึกกรรมฐานชนิดนี้ พึงพิจารณาตามความเป็นจริงว่า อาหารนี้เป็นของปฏิกูล ไม่ได้สะอาดจริง เราจะพบว่า กับข้าวจะเป็น ไก่ หมู กุ้ง ปู และสัตว์ต่างๆ ที่ผสมกับพืชผักเป็นอาหารหลากรส หลายลีลานั้น สัตว์ต่างๆ ที่กล่าวมานั้นคือ “ศพ” ของสัตว์ ศพของสัตว์ไม่ต่างจากศพของคน ศพคนหากเราไม่ฉีดยาและปล่อยไปตามกาลเวลา ศพนั้นก็จะเน่าเหม็น มีน้ำเหลืองไหลออกจากช่องเล็กช่องน้อย หนอนชอนไชไปตามเนื้อหนังที่พองนั้น ไม่นานท้องก็จะแตก น้ำเหลืองกระฉอกออกมา ส่งกลิ่นคละคลุ้ง สัตว์ที่อยู่ในจานก็ไม่แตกต่างจากสภาพที่กล่าวมานี้ ครั้นเรากินข้าวผสมกับแกงหรือกับข้าวอื่นๆ เราเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนเสมอ ขอให้เราปฏิบัติใหม่คือ ก่อนที่จะกลืนลงไปให้เราคายอาหารที่เราเคี้ยวนั้นออกมาวางบนฝ่ามือ จากนั้นให้พิจารณาความละเอียดของอาหารที่ผ่านการเคี้ยวแล้ว ศพไก่ ศพหมู ศพปลา ที่ผ่านการเคี้ยวผสมด้วยข้าว มีน้ำเมือกก็คือน้ำลายผสมอยู่ ครั้นดมกลิ่นจะมีกลิ่นคาวของสัตว์ต่างๆ อาหารที่ผ่านการเคี้ยวและวางอยู่บนฝ่ามือนี้ ไม่แตกต่างจากรากของสุนัข ซึ่งวางกองอยู่กับพื้น รากของสุนัขนั้นมีทั้งข้าว ก้างปลาชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีน้ำเมือก/น้ำลาย พร้อมด้วยกลิ่นคาวเปรี้ยว จากนั้นพึงเอาอาหารที่วางอยู่บนฝ่ามือนั้นใส่เข้าไปในปากและเคี้ยวต่อ และนำออกมาวางบนฝ่ามือพร้อมกับพิจารณาอย่างเดียวกันนั้น และใส่ปากกลืนลงไปในท้อง พึงพิจารณาว่า อาหารที่อยู่ในท้องซึ่งเต็มไปด้วยซากศพของสัตว์ และมีสัตว์อื่นอาศัยอยู่ด้วย เช่น พยาธิ เชื้อโรค เป็นต้น อาหารที่หมักหมมอยู่ในท้องนี้ ไม่แตกต่างจากอาหารที่เขาทิ้งทับถมลงในภาชนะที่จะกลายเป็นสิ่งเน่าเหม็นในภายหลัง..........ข้อนี้ พึงไปดูถังใส่ของเสียในร้านก๊วยเตี๊ยว ที่มีฟองขึ้น เศษอาหารต่างๆ ผสมอยู่ในถังนั้น

                การพิจารณาประมาณนี้เองคือ “อาหาเรปฏิกูลสัญญา” น่าจะมีส่วนช่วยในการลดความอ้วนลง เมื่อเราพบว่า เรากินอาหารไม่ใช่เพื่อความเอร็ดอร่อย ไม่ใช่เพื่อความเมามัน แต่กินเพื่อการมีชีวิตอยู่ในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป ในด้านเศรษฐศาสตร์ จะเป็นการประหยัดทรัพยากรอาหารไปในตัว และตรงกับคำสอนที่ว่า โภชเน มัตตัญญุตา การรู้จักประมาณในการบริโภค บริโภคไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ฉะนี้แล

                นอกจากเรื่องนี้แล้ว หากเราได้ถามคนที่ชอบฝึกสมาธิ ทราบมาว่า ไม่หิวอาหารเลย

                ขอความสุขความเจริญจงมีแด่สรรพสัตว์ทั้งหลาย

 ..........................................................................

หมายเหตุ : ทั้งหมดเป็นเพียงแนวคิดเพื่อการลดความอ้วน ยังไม่มีผลของการวิจัยใดยืนยันในเรื่องนี้

หมายเลขบันทึก: 191866เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2008 22:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 ตุลาคม 2015 10:43 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

อิ อิ อิ...อายจัง...ข้าพเจ้าลดไป5โล แล้วค่ะ... ต้องใช้สมาธิจริงๆด้วยค่ะ วันไหนสมาธิแตกแบบกู่ไม่กลับ...ก็กินเยอะเหมือนเดิม แต่ช่วงนี้สมาธิดีหน่อยค่ะ ตั้งใจว่าจะต้องเป็นนางแบบให้ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า... อิ อิ อิ

มีคนไม่มากที่จะพิจารณาอาหารก่อนกิน ที่พิจารณาอยู่บ้างก็คือ มันจะอร่อยไม หรือว่ามันสวยงามไม หรือว่าจะได้ที่ไหนเพิ่มอีก ส่วนมากจะเป็นอย่างนี้

ถูกต้องเลยถ้าเรามาหัดฝึก ได้ทั้งสมาธิ และลดความอ้วนได้ด้วย

ไม่ต้องมาเป็นตุ่ม 5555

สวัสดีค่ะอาจารย์

  • แวะมาใหม่อีกรอบค่ะ...พอดีทำงานดึกๆแล้วหิวค่ะ...

 

  • แล้วรูปแบบนี้ก็ลอยมาๆ...
  • แต่พออ่านบันทึกอาจารย์ รูปภาพทุกอย่างหายแว๊บบบ...เลยค่ะ อิ อิ อิ ดึกๆวันไหนหิวอีก จะเข้ามาอ่านอีกค่ะ...
  • ขอบคุณมากค่ะ

สวัสดีครับ my sister

  • แนะนำให้นะครับสำหรับคนพิเศษที่มีพันธุกรรมทางปัญญาสูง "ความอยาก" นี่แหละสำคัญ ที่ยั่วยวนให้เราต้องกัน เห็นทุเรียน โอ้ย อยากกินทุเรียน หากไม่เห็นก็แล้วไป เห็นหมูปิ้ง ก้อยากกินหมูปิ้ง ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้คิด ก็แล้วไป
  • บอกให้นะครับ ผอมเกินไปก็ไม่ดีเหมือนกันนะครับ

สวัสดีครับ ท่าน ผอ.

  • ขอบคุณครับ ขอรับสิ่งดีๆ ไว้นะครับ :-)

นมัสการครับ หลวงพี่มงคล

  • การทำงานของคนปัจจุบันเป็นไปอย่างเร่งรีบ บางคนกินไปด้วยทำงานไปด้วย ก็ให้น่าสงสารอยู่
  • ผมเข้าใจว่า การฝึกฝนตนที่ว่านี้ ต้องใช้เวลาที่ละเอียด จึงจะเข้าถึงความละเอียดอ่อนนั้นได้

สวัสดีครับ my sister

  • ยินดีครับ ผมก็เข้ามาอ่านเหมือนกันว่า เขียนอะไรผิดพลาดไปบ้างหรือไม่ ด้วยว่า ผมไม่ใช่นักปฏิบัติ ได้แต่เรียนรู้ เคยปฏิบัติมาบ้างระยะหนึ่ง ทุกวันนี้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์แล้วเห็นใจสังขาร โดยเฉพาะพุงย้อย ฮาฮา
  • งั้นแสดงว่า บันทึกนี้น่าจะสกัดกั้นการกินได้นะครับ เป็นบุญของผมแท้ๆ ฮาฮา

"การพิจารณาประมาณนี้เองคือ “อาหาเรปฏิกูลสัญญา” น่าจะมีส่วนช่วยในการลดความอ้วนลง เมื่อเราพบว่า เรากินอาหารไม่ใช่เพื่อความเอร็ดอร่อย ไม่ใช่เพื่อความเมามัน แต่กินเพื่อการมีชีวิตอยู่ในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป"  OOHOOH  อ่านแล้วชอบจังค่ะ..จะพยายามทำตามดู  คงจะได้ประโยชน์ทั้งร่างกายบางลง..แต่..กระเป๋าหนักขึ้นแน่นอน..ขอบคุณค่ะ

                      

สวัสดีครับOOHOOH

  • แหม ผมก็ลืมเรื่องกระเป๋าหนักไปซะนี่

 

  • วันนี้เข้ามาอ่านใหม่ค่ะ


  • เพราะ....

 



  • ไอศครีม...บินมาๆแต่ไม่ยักกะบินไป


  • ฮือ ฮือ

 

เมื่ออ่านจบนะกะว่าวันนี้จะไม่กินไรเรย

ยิ่งนึกภาพและคิดตามนะ

โห.....จะอ้วกแล้ว

ไม่กินก้อได้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท