ชีวิตใน Launceston ของคนรู้ภาษาอังกฤษน้อย (ต่อ)


การเดินทาง......อันยาวไกล

.........คณะที่เดินทางไป MELBOURNE  ก็นั่งรอ  นอนรอ(เราก็นอนไปซักครึ่งชั่วโมง)  ระหว่างรอเราใช้เงินไป  30  เหรียญ เพื่อซื้อซิมโทรศัพท์โทรระหว่างประเทศได้     ในประเทศได้คิดแล้วนาทีละ 30 บาท(แพงจริง ๆ)   และครูตุ๊กก็แจกตั๋วอีกหนึ่งใบเพื่อเดินทางไป LAUNCESTON (เรานึกในใจว่ายังไม่หมดอีกหรือเนี่ยเฮ้อ ! )   .... จนได้เวลาบิน  เครื่องบินออกเวลา  11.40 น. ตรงเวลา  .............คราวนี้เรานั่งเลขที่  45E  ติดกับครูตุ๊ก  เรานั่งคิดไปเพลิน ๆ  กะจะถามครูตุ๊กว่า การพูดภาษาอังกฤษให้ฝรั่งรู้เรื่องเขาทำกันอย่างไร  หันไปอีกทีครูตุ๊กหลับหัวห้อยไปแล้ว เลยไม่รู้จะถามใครเลยหลับบ้างดีกว่า  ..........หลับไปได้ซักแป๊บหนึ่งก็ตื่น พอดีแอร์นำอาหาร(แซนวิช, น้ำผลไม้รวม ) มาให้  เราปลุกครูตุ๊ก  ปลุกพวกเด็ก ๆ   ให้ขึ้นมากินอาหาร   นักเรียนบางคนก็ตื่นขึ้นมากิน   บางคนตื่นมาแล้วหลับต่อไปอีกโดยไม่กิน ส่วนเราไม่ได้กินแซนวิชแต่กินน้ำผลไม้แทน  บอกตุ๊กว่าให้ขอ แอปเปิลให้หน่อย  ตุ๊กขอมาให้ลูกหนึ่ง (อร่อยมาก)  ...........ยังนึกในใจว่าถ้ากินอาหารที่เขาเตรียมให้เรากินไม่ได้ก็ขอผลไม้เขากินจะดีกว่า  (แต่จะกล้าพูดกับเขา.....ไหมเนี่ย)

                ใช้เวลาในการบินถึง MELBOURNE  ประมาณ  2  ชั่วโมง  เมื่อมาถึงแล้ว ก็ต้องเตรียมตั๋วไปใหม่เพื่อเดินทางต่อด้วยเครื่องบินเล็ก         ตุ๊กยังบอกว่าหนูยังไม่เคยนั่งเครื่องบินเล็กเลย   ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เครื่องบินออกเวลา  15.40   และใช้เวลาเดินทางประมาณ  45  นาที  เรานึกในใจว่า...ยังไม่หายเวียนหัวตอนเครื่องบินขึ้นเลย  ต้องเวียนหัวตอนเครื่องบินลงอีก    แล้วเครื่องบินมันคงโคลงเคลงมากแน่ ๆ  เพราะมันลำเล็กกว่า  แล้วก็จริงดังคาด   นักเรียนหลายคนร้องบอกว่าคุณครูครับผมจะอ้วก  เราต้องรีบบอกว่าให้เตรียมถือถุงไว้   

                เราถึง เมือง LAUNCESTON   ในเวลาเกือบห้าโมงเย็น  ด้วยความปลอดภัยพร้อมกับอาการ    Jet  lag    (ครูตุ๊กเป็นผู้อธิบายว่า เป็นอาการเหนื่อยอ่อนที่เกิดจากการเดินทางโดยเครื่องบินเป็นระยะทางไกลมาก ) ซึ่งเป็นเรื่องจริง.........เพราะคณะของเราเดินทางเป็นเวลา  24  ชั่วโมงแล้วยังไม่ได้หลับนอนกันเลย ขึ้นลง .... ขึ้นลง เครื่องบินกันเป็นว่าเล่น เหนื่อย  ง่วง  เวียนหัว  มึนหัว   และตัวเรายังวิตกกังวลว่า.....จะอยู่อย่างไร จะพูดอย่างไร เป็นของแถมอีก เฮ้อ !

                ตอนก้าวลงมาจากเครื่องบินเล็ก  ก็ลงบันไดถึงพื้นดิน ไม่ได้เดินไปตามทางเดินใน Airport    เจอกับอากาศแท้จริง...รู้สึกหนาวมาก พวกเราลงมาแบบอ่อนเปลี้ย  มองเห็นคณะ Billet มาต้อนรับกันเต็มเลย   น่าชื่นใจ (แต่สำหรับเรา  ใจกำลังเต้นบั๊ก...บั๊ก  เอาละซิ....เจอของจริงแล้วจะทำได้หรือเปล่า)

           ที่สนามบินเมือง Launceston  มีกลุ่ม Billet มารับมากมาย   คนโน้น  คนนี้ทักทายกันจ้าระหวั่นเนื่องจากครูตุ๊ก  ครูนุ่น และครูอุไรมาที่นี่หลายครั้งแล้วและรู้จักกับคณะครูที่โรงเรียนทั้ง  3  โรงเป็นอย่างดี  ทำเราใจไม่ดีมากเข้าไปอีก  ได้ยินเสียงครูตุ๊กบอกว่า

                ครูแจ๋ว     มิเชล คนใส่เสื้อสีขาว  เราก็ชะเง้อมอง แล้วรีบเดินเข้าไปหา พอดีมิเชลมองมาพอดี ต่างคนก็เดินเข้ามาหากัน กอดกันด้วยความอบอุ่น (สำหรับเขานะ  สำหรับเราจะบ้าอยู่แล้ว)     

อุตส่าห์พูดเสียงเบา ๆ ว่า    “Good   afternoon”  แล้วไม่ได้พูดอะไรอีกเลย  ฝ่ายมิเชลก็พูดว่า  สวัสดีค่ะ ภาษาไทยชัดเจน แล้วก็พูดภาษาอังกฤษช้า ๆ  มาก  แต่เราจับใจความกระท่อนกระแท่นว่า ขอต้อนรับด้วยความอบอุ่น  ดีใจที่ได้พบ  นอกนั้นไม่รู้เรื่องเลย ที่มิเชลพูดมา    ขณะที่ใจคอไม่ดีอยู่นั้นก็มี      ข่าวร้าย......................... กระเป๋าของคณะเราไม่ได้มากับเครื่องยังติดอยู่ที่ MELBOURNE

       เอ้า !  จะทำอย่างไรกันเล่า  เราและพี่อุไรก็หันมามองหน้ากัน   แต่ครอบครัว Billet ก็ช่วยกันแก้ปัญหาด้วยการพาเด็ก ๆ กลับบ้านก่อนโดยติดต่อกับทางสนามบินให้ช่วยนำกระเป๋าไปส่งที่บ้าน ส่วนเรากับพี่อุไรรวมทั้งมิเชล และแคทิ  จะรอกระเป๋าอยู่ที่สนามบิน  ซึ่งต้องใช้เวลารอประมาณหนึ่งชั่วโมง เลยต้องไปหาอะไรกินก่อน   เรากับพี่อุไรกินผลไม้ ส่วน มิเชล และแคทิ  กินกาแฟ      ระหว่างรอมิเชลก็พยายามคุย เราก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง  ตอบได้   ก็ตอบ ตอบไม่ได้ก็ยิ้ม(คงทุเรศน่าดู)  ยังดีที่พี่อุไรอยู่ช่วยให้เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี  เราออกเดินทางจากสนามบินเกือบทุ่มหนึ่งแต่ยังมีแดดออกแรงมาก 

               ระหว่างการเดินทางไปบ้าน  มิเชลก็พยายามชวนคุย  เราก็ตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง(ช่างน่าอึดอัดทั้งมิเชลและตัวเราเสียจริง ๆ ) ส่วนใหญ่จะฟังเสียมากกว่า       เพราะฟังพอรู้เรื่อง   สองข้างทางไปบ้านมิเชล  จะเป็นทางขึ้นเนินเขา  ลงเนินเขา  โค้งไปโค้งมา เราพยายามจะถามเขา นึกอยู่ตั้งนานเลยหลุดออกไปประโยคหนึ่งคือ             “How many  kilometers to your  house ?  มิเชลตอบว่า  25  กิโล  แล้วขับรถเร็วมากขึ้น มิเชลคงนึกว่าเราเหนื่อยอยากพักผ่อน (เปล่า !  ....ไม่รู้จะถามอะไร เวรกรรม)   ก่อนจะถึงบ้าน   มิเชลชี้ให้ดูสวนแอบเปิล ซึ่งสวยมากอยากถ่ายรูป (แต่ก็ไม่ได้ถ่าย ยังนึกไม่ออกว่าจะพูดว่าอะไร)  มาถึงบ้านซึ่งมองดูภายนอกเหมือนจะเล็ก แต่ข้างในสวย สะอาดมาก(แอบนึกไปถึงสภาพบ้านของเรา  สกปรกจริง ๆ หนักใจอีกนั่นแหละ) สามีของมิเชลเป็นคนเปิดประตูให้แล้วพูดว่าสวัสดีครับ  เราตกใจเลยตอบไปว่า สวัสดีค่ะ  แล้วรีบยิ้มตอบ  มิเชลพาเราเดินเข้าบ้าน  ยกกระเป๋าอันหนักเข้ามา พาไปดูห้องอธิบายวิธีใช้ Heater  พาไปดูห้องน้ำ  ห้องอาบน้ำ  บอกวิธีใช้  เรารู้สึกตื้นตันใจในความเอาใจ ใส่ของเขา (อยากร้องให้)  เราแอบมองสามีของมิเชลเห็นกำลังเปิดไวน์ คงเตรียมไว้ต้อนรับเรา   แต่สภาพเราตอนนี้ไม่ไหวจริง ๆ  ทั้งเหนื่อยทั้งวิตกกังวล          ทั้งกลัว สารพัด      เราเลยบอกกับมิเชลว่า  I  want  to  take  a  bath  and  go  to bed . มิเชลทำท่าตกใจแล้วก็พยักหน้า  เราเดินเข้ามาในห้องรู้สึกเสียใจที่ไร้มารยาทกับพวกเขา แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้  อยากจะไปขอโทษ  ก็ไม่กล้าเลยนั่งห่อของขวัญเตรียมให้ครอบครัวของมิเชล  กว่าจะได้อาบน้ำก็ ปาเข้า ไปตั้งสี่ทุ่มของที่นี่  (หนึ่งทุ่มบ้านเรา)  ก่อนนอนมิเชลพาแอนดรูมาแนะนำให้รู้จัก  เป็นเด็กที่น่ารักมาก  เรียบร้อย      อายุ  13  ปี  เรียนอยู่โรงเรียน ควินชี่ สูงประมาณ  170  cm. แต่ค่อนข้างผอม กว่าจะได้นอนก็ประมาณห้าทุ่ม   ก่อนนอนตั้งนาฬิกาปลุกไว้เจ็ดโมงเช้า (ตกลงกับมิเชลว่าจะมอบของขวัญให้ตอนเช้า  ทั้งคืนหลับสนิทมาก  เป็นตะคิวอยู่พักหนึ่ง  ..... ผ่านไปได้หนึ่งวัน

คำสำคัญ (Tags): #ประสบการณ์
หมายเลขบันทึก: 189025เขียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2008 20:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 00:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท