จากข่าวของเดลินิวส์ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2551 ที่ว่า สาว ม.6 พร้อมพวก 7 คน ได้ด่าว่า สาวพาณิชย์ คนหนึ่ง ขณะยืนรอเพื่อนๆ อยู่ปากซอยช่วงเช้า จากนั้นได้ใช้กำลังบังคับ ฉุดกระชากเหยื่อขึ้นรถตู้ แล้วพาไป ไปกักขังในบ้านเช่า จิกหัวตบตีรุมทำร้าย ท่ามกลางพรรคพวกส่งเสียงเชียร์ ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปวิดีโอเก็บไว้ ขู่ห้ามแจ้งตร. เรื่องเปิดเผยทีหลังเพราะเพื่อนได้รับคลิปฉาวมาเล่าให้ฟังจนอับอาย แม่เห็นเซื่องซึม จึงเค้นจนได้ทราบความจริง และนำเรื่องไปแจ้งตำรวจ ซึ่งมีการเตรียมประสาน ผอ. โรงเรียน ส่งตัวมาสอบสวน แฉสาเหตุมาจากชอบผู้ชายคนเดียวกัน หลังจากอ่านข่าวแล้ว รู้สึกเศร้าใจกับพฤติกรรมความรุนแรงนี้ จึงใคร่ขอวิเคราะห์และเสนอแนะแนวทางการจัดการความขัดแย้งนี้
ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมชาติ ทั้งขัดแย้งในตนเอง หรือ กับผู้อื่น ซึ่งความขัดแย้งอาจทำให้เกิดผลด้านบวกหรือด้านลบ แต่ในกรณีนี้ความขัดแย้งนี้ถือเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคล(Interpersonal conflict) ที่วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งร่วมกันกระทำความรุนแรงต่อผู้อื่นทั้งทางกายและใจ โดยทำร้ายร่างกายผู้อื่น กักขังหน่วงเหนี่ยวให้ผู้อื่นสูญเสียอิสรภาพ การข่มขู่ และการถ่ายวีดีโอคลิป ซึ่งการทำความรุนแรงนี้ เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ โดยเฉพาะผู้กระทำนั้นเป็นเยาวชนซึ่งเป็นพลังของประเทศ
หากวิเคราะห์ถึงสาเหตุของความขัดแย้ง โดยใช้วงกลมแห่งความขัดแย้ง ของ คริสโตเฟอร์ มัวร์ (Christopher Moore, อ้างอิงใน วันชัย วัฒนศัพท์, 2547) พบว่า อาจมีความขัดแย้งดังนี้ 1. ความขัดแย้งทางข้อมูล (Data Conflict) หรือความขัดแย้งที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารมากหรือน้อยเกินไป การตีความผิดพลาด ซึ่งจากเนื้อหาข่าว อาจบอกได้ว่า ทั้งสองฝ่ายอาจไม่รู้มาก่อนว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นแฟนของชายคนนั้น หรือ ทั้งๆที่รู้แต่ด้วยรัก หรือ แม้กระทั่งได้รับการยุยงข้อมูลบางอย่างจากกลุ่มเพื่อน 2.ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Interest Conflict) คือ เกิดการแย่งชิงตัวผู้ชาย เพื่อตอบ สนองความต้องการทางอารมณ์ 3. ความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์ (Relationship conflict) คือ คู่กรณีอาจมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีมาก่อนหน้านี้แล้วจนทำให้เกิดการทำความรุนแรงขึ้นมา 4. ความขัดแย้งด้านค่านิยม (Value conflict) ความแตกต่างด้านความเชื่อ ค่านิยม ซึ่งในกรณีนี้ อาจเป็นไปได้ว่า สาวม.6 ที่ก่อเรื่องได้รับการหล่อหลอม/ คุ้นเคยกับการใช้ความรุนแรง ขณะที่ สาวพาณิชย์อยู่ในกลุ่มของคนที่หลีกเลี่ยง ไม่กล้าต่อสู้ สำหรับแนวทางในการจัดการความขัดแย้งที่ให้เกิด win- win อาจทำได้ดังนี้
1. การเจรจาไกล่เกลี่ยคนกลาง (Mediation) คือ การกำหนดให้มีผู้เจรจาไกล่เกลี่ยที่ทั้งสองฝ่ายไว้วางใจในการสร้างกระบวนการระงับข้อพิพาท การแนะนำเช่นนี้ มิใช่ว่า จะให้ผู้กระทำผิดลอยนวล แต่เป็นการให้ทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาสพูดคุยกันด้วยความสมัครใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และให้ผู้กระทำผิดได้สำนึกผิดจริง เพื่อเป้าหมายของความสัมพันธ์ที่ยังคงอยู่ ด้วยบางครั้งเยาวชนก็ทำผิดเพราะเพียงอารมณ์ชั่ววูบ หากเรื่องราวต้องถึงขั้นศาลก็อาจจะทำให้เสียเวลา เสียเงิน และเสียอนาคต
2. การประชุมกลุ่มครอบครัว (Family group conferences) ซึ่งเป็นวิธีการที่นิยมใช้ในประเทศนิวซีแลนด์ โดยมีลักษณะคล้ายการเจรจาไกล่เกลี่ยคนกลาง แต่วิธีนี้การเจรจาต้องประกอบด้วยคู่กรณี และสมาชิกครอบครัวผู้มีความสำคัญหรือเพื่อนของทั้งสองฝ่ายเพื่อจะได้มีการคุยให้เข้าใจพร้อมๆกัน(ในกรณีนี้ ควรต้องมีโรงเรียนของทั้งสองฝ่ายด้วย) และหากมีข้อตกลงกันแล้ว หากผู้กระทำผิดมิได้ปฏิบัติตามก็จะมีกระบวนการลงโทษทางสังคม(Social sanction)
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะข้างต้นดังกล่าว ก็เป็นเพียงการแก้ไขในปลายเหตุ ซึ่งผู้เขียนคิดว่า โรงเรียน สถาบันการศึกษาต่างๆ ควรจะให้ความสนใจในการสอนทักษะการจัดการปัญหาในชีวิตให้กับนักเรียน อันจะเป็นการส่งเสริมการสร้างสันติวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม
อ้างอิง
www.dailynews.co.th วันที่ 8 มิถุนายน 2551
คณะทำงานโครงการนำร่องพัฒนาระบบงานยุติธรรมชุมชน. (2550). กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
วันชัย วัฒนศัพท์. 2547. ความขัดแย้ง : หลักการและเครื่องมือแก้ปัญหา. นนทบุรี: สถาบันพระปกเกล้า
สวัสดีครับ
รู้สึกว่าเคยได้ยินข่าวทำนองนี้หลายครั้งเหมือนกัน
สงสัยว่าจะเลียนแบบกันนะครับ
ความรู้ คู่ คุณธรรม
เอาใจช่วยสังคมไทยให้ไปรอดค่ะ
สวัสดีค่ะ เขาใจร้ายกันจังเลยค่ะ อ่านแล้วไม่อยากเป็นนักเรียนเลย เพราะไม่รู้จักโต ไม่มีความคิด คงนึกว่าแย่งตุ๊กตาเหมือนเมื่อตอนเด็ก ๆ มังค่ะ
สวัสดีค่ะ
* วัยรุ่นเขาก็เลียนแบบจากสื่อโฆษณาและละคร
* เมื่อก่อนมีโฆษณาพวกน้ำหอมผู้ชายใช้....แล้วผู้หญิงตบตีกันเพื่อแย่งผู้ชาย....เด็ก ๆ ก็ตบตีกัน...ยังไม่ทันเป็นอะไรกันเลย...นักเรียนหญิงม. เขาก็ตีกันแล้ว...เวลาด่าทอกันก็กล่าวอ้างอย่ามาแย่งผั....ก....เฮ้อกลุ้มไปเหมือนกัน
* แก้ก็ค่อนข้างยาก...ผู้ปกครองบางคนก็เชื่อลูก...พอครูรายงานพฤติกรรม...ก็ด่าครู...แถมขู่จะฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาท...พูดจาให้ลูกเขาเสื่อมเสีย
* มีครั้งหนึ่งไปตามเด็กจากแหล่งมั่วสุมกลับมาได้...แล้วแจ้งให้ผู้ปกครองมารับ.....ปรากฏว่าผู้ปกครองต่อว่าครูว่าครูใส่ร้ายเด็ก....
* บางครั้งก็ต้อง....หานำพาไม่......เหมือนกันค่ะ
ต้องปลูกฝังเรื่องของคุณธรรมกันมาตั้งแต่เด็กค่ะ
เรื่องนี้แก้ไม่ยากเลย แต่ผู้ใหญ่ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือค่ะ
ด้ะด้ะเพ