การถ่ายภาพมีขีดจำกัด ขีดจำกัดในเรื่องของแสงเงา ขีดจำกัดของสมรรถนะกล้อง ขีดจำกัดขององค์ประกอบภาพที่อาจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
นี่คล้ายกับชีวิตของคน ทุกย่างก้าวล้วนมีขีดจำกัด ขีดจำกัดทางร่างกาย ขีดจำกัดทางจิตใจ ขีดจำกัดทางสติปัญญา ขีดจำกัดของสภาพตั้งต้น
ขีดจำกัดเหล่านี้ อาจเอาชนะได้ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
ในโลกตะวันตก เคยมีผู้เชื่อมานานว่าธรรมชาติสร้างร่างกายคนให้วิ่งไม่เร็วเกินหนึ่งไมล์ใน 4 นาที (four-minute mile) จนมีนักวิ่งผู้หนึ่งชี้ว่า นั่นเป็นเพียงขีดจำกัดทางจิตใจ โดยวิ่งพิสูจน์ และสามารถล้มล้างความเชื่อดังกล่าว เขาเผยว่าเคล็ดลับคือการเตรียมใจ ให้รู้สึกเสมือนเพิ่งเริ่มวิ่งอยู่ตลอดเวลา เมื่อผู้อื่นนำไปทำตาม ก็ทำได้ จนปัจจุบันกลายเป็นสถิติธรรมดาไป
หรือขีดจำกัดเรื่องอายุขัยเฉลี่ยของคน เมื่อความรู้ทางการแพทย์ก้าวหน้าไป ก็เพิ่มขึ้นด้วยอัตราประมาณ 3 เดือน ทุกปีมาตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งได้มาด้วยการสั่งสมประสบการณ์ในระดับมหภาค อย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้เกิดจากคนเพียงคนเดียว
การทลายขีดจำกัดเหล่านี้ บางครั้ง อาจไม่คุ้มค่าที่จะทำ หรืออาจไม่ทันเวลาที่จะทำ
การถ่ายรูปกลับสอนเราได้ประการหนึ่ง:
แม้เราจะไม่สามารถเอาชนะขีดจำกัดที่มีอยู่ได้อย่างง่ายดายนัก แต่เราอาจสามารถอ้อมผ่านขีดจำกัดเหล่านี้ไปได้ จนบางครั้ง เราอาจลืมไปเลยว่าข้อจำกัดเหล่านั้นก็ยังคงมีอยู่อย่างครบถ้วน เพียงแต่ไม่มีผลกระทบต่อเราอย่างรุนแรงอีกต่อไป
โดยอาศัยการสังเกต ตรึกตรองอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อทดลองหารูปแบบการจัดการใหม่ ๆ เราอาจก้าวอ้อมผ่านปัญหานั้นไปเฉย ๆ ราวไม่มีปัญหานั้นอยู่
เมื่อถ่ายรูปคนที่ผิวคล้ำ หรือผิวหน้าไม่เนียนเรียบ การถ่ายรูปโดยใช้แสงแดด อาจขับเน้นกว่าที่ตามองเห็น
แต่เมื่อใช้วิธีถ่ายภาพให้โอเวอร์ขึ้นไปครึ่งถึงหนึ่งสต็อป หรือถ่ายในที่ร่มที่มีแสงแดดสะท้อนจากพื้นขึ้นมา หรือสวมใส่ชุดสีคล้ำ และร่วมกับการล็อคโฟกัสส่วนมืดในภาพ แล้วเลื่อนมาถ่ายส่วนที่สว่าง ก็จะได้ภาพที่ผิวขาวขึ้น หน้าเนียนเรียบขึ้น บางครั้งอาจได้คุณภาพของภาพที่ดีกว่าการตกแต่งประทินโฉมเสียอีก
เมื่อถ่ายรูปโดยกล้องอัตโนมัติบางรุ่นในงานกลางคืน ภาพอาจไม่สามารถล็อคโฟกัสได้เพราะมืดไป เราอาจต้องหันไปล็อคโฟกัสที่ภาพอื่นแทนไปก่อน ที่แสงสว่างและขอบภาพคมชัดเหมาะสมแล้วหันกล้องที่ล็อคโฟกัสค้างอยู่ กลับไปถ่ายภาพที่ต้องการในภายหลัง
แต่หากขีดจำกัด ทั้งไม่สามารถเอาชนะ ทั้งไม่สามารถอ้อมผ่าน สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ คือการยอมแพ้ ได้แต่ต้องยอมรับแล้ว
แต่การอ้อมผ่านขีดจำกัดในชีวิต ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นเดียวกัน
คนที่สุขภาพร่างกายไม่ดี อาจเพียงแค่ยอมรับในสิ่งที่ตนเป็น และใช้วิถีชีวิตที่สอดคล้องต้องกัน ไม่ใช้สุขภาพตนเองอย่างหักโหม ไม่แน่ว่ายังสามารถมีคุณภาพชีวิตทางร่างกายดียิ่งกว่าคนที่เคยเป็นนักกีฬาเสียอีก
หรือในกรณีของคนที่ขี้ลืม ไม่แน่ว่าผ่านวันเวลาที่สุขสมกว่าผู้ที่จดจำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
คนขี้ลืม กับเรื่องราวที่เกิดความผิดพลาดสับสน กลับคิดตกว่าเกิดจากการที่ตนเองอาจจะลืมไป ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งหาผู้ผิดอื่นให้วุ่นวายอีก อาจทำให้ต้องเกิดระบบบันทึกที่ดี เพื่อเยียวยาอาการขี้หลงขี้ลืมของตนเอง ซึ่งอาจได้ผลดีไม่แพ้ความทรงจำของผู้ที่มีความจำดีกว่า
การอ้อมผ่านจุดอ่อนไม่ใช่การปฏิเสธจุดอ่อน
การปฏิเสธ คือการไม่ยอมรับรู้ถึงการดำรงอยู่
การอ้อมผ่าน คือการยอมรับถึงการดำรงอยู่ของจุดอ่อนนั้น แต่ไม่หักหาญเอาชนะ
การอ้อมผ่านขีดจำกัดทางจิตใจ ก็เป็นเช่นเดียวกัน หากตระหนักถึงจุดอ่อนทางจิตใจของตนเอง ก็ไม่จำเป็นกลายเป็นปมด้อย หรือกลบเกลื่อนให้จิตใจแข็งกระด้างด้วยการสร้างปมเด่นอีก
เพียงอ้อมผ่านไปด้วยการยอมรับความจริงว่านี่คือจุดอ่อนที่เรายังเอาชนะไม่ได้ แสวงหาความช่วยเหลือของผู้ไร้จุดอ่อนนั้น ผลกระทบย่อมลดระดับความรุนแรงลง จนอาจถึงขั้นไร้ความหมาย
ในมุมกลับ เมื่อเราเดินอ้อมหลีกจุดอ่อนของตัวเองได้ กลับไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เราจะเลือกใช้จุดแข็งที่มีอยู่ เพื่อเป็นฐานกระโจนสู่ห้วงความเป็นไปได้อันไม่จำกัดของชีวิต
อาเมน...ได้รับทั้งเทคนิคการถ่ายภาพและแนวคิดสำหรับชีวิต Two in one : )
แต่หากขีดจำกัดที่ไม่สามารถเอาชนะ ทั้งไม่สามารถอ้อมผ่าน สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือการยอมแพ้ ได้แต่ยอมรับแล้ว
การอ้อมผ่านจุดอ่อนไม่ใช่การปฏิเสธจุดอ่อน
การปฏิเสธ คือการไม่ยอมรับรู้ถึงการดำรงอยู่
การอ้อมผ่าน คือการยอมรับถึงการดำรงอยู่ของจุดอ่อนนั้น แต่ไม่หักหาญเอาชนะ
***********************************************
เหมือนทำตัวเป็นน้ำ เปลี่ยนรูปร่างไปตามภาชนะที่ใส่
เหมือน อุเบกขาในทางพุทธ
เหมือน ความยืดหยุ่น หลาย ๆ อย่างในชีวิต
ใช่มั้ยคะ
ขอบคุณข้อคิดดี ๆ ค่ะ