จากรายงานการวิจัยที่ทาง สวรส. ส่งมาให้อ่านแบบภายใต้ข้อจำกัดของเรื่องเวลา และจำนวน paper ที่ผกผันกัน คือ จำนวน paper มากแต่เวลาในการอ่านน้อย ผู้อ่านก็ต้องยิ่งใช้ความตั้งใจในการอ่านมากยิ่งขึ้น
จากการอ่านงานวิจัย 125 + 20 เรื่องในกลุ่มที่ทาง สวรส. จัดเป็นกลุ่มระดับตติยภูมิ ประกอบด้วยตั้งแต่โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย เมื่ออ่านพบว่า แนวคิดของงานวิจัยนั้นสะท้อนอะไรให้เห็นหลายๆ อย่าง ความแตกต่างของงานวิจัยมีมากตั้งแต่นักวิจัยหน้าใหม่ ไปจนถึงนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญระดับรองศาสตราจารย์ ไปจนถึงงานวิจัยของผู้ที่มีการันตรีที่เป็นปริญญาโท-เอก...
ครั้งแรกข้าพเจ้าก็ค่อนข้างมึนงง ว่านี่เป็น R2R หรือเป็นเวที R อย่างเดียว (R = Researcher) ทำให้นึกถึงพี่แดงคนน้อยๆ หัวใจใหญ่แห่งโลกเล็กๆ R2R ของยโสธร หากว่าพี่แดงส่งงานวิจัยเข้ามา งานของพี่แดงอาจจะไม่เข้าข่าย เพราะงานของพี่แดงมีแต่หัวใจ แต่ขาดความเป็นวิชาการ ขาดระเบียบวิธีวิจัยที่เคร่งครัดและเป็นขั้นสูง
ข้าพเจ้ากลับมาทบทวนตนเอง ข้าพเจ้าหลงทางหรือเปล่า เพราะข้าพเจ้าจะบอกตนเองและทีมเสมอว่า ขอตั้งต้นเพียงแค่ว่า “ปัญหาในงาน คือ อะไร และจะทำอะไร กระบวนการเป็นอย่าง ผลเป็นอย่างไร” ... อย่าเพิ่งไปเคร่งเครียดกับระเบียบวิธีวิจัยมากนัก เอาแบบง่ายๆ เป็น Action Research หรือจะเป็นวิจัยเชิงคุณภาพ ที่ไม่ต้องไปปวดหัวกับสถิติ หรือระเบียบวิธีวิจัยที่เข้าใจยาก
“ทำเรื่องเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่ในหัวใจคนทำ”
ข้าพเจ้า...หวังว่า เวที R2R ที่นำการขับเคลื่อนโดย สวรส. นี่น่าจะเป็นเส้นทางได้สำหรับคนทำงานตัวน้อยแต่มีหัวใจอันยิ่งใหญ่ (เป็นเพียงความหวังส่วนตน แต่ความหวังนั้นก็มีความไม่แน่ใจแอบซ่อนอยู่ แต่ก็ยังอยากหวังอยู่แบบลึกและแบบกว้าง) เพราะเวทีสำหรับเขาเหล่านี้มีน้อยเหลือเกิน เพราะถูกเบียดไปด้วยความยิ่งใหญ่จากเงื่อนไขทางวิชาการและสังคม
นักวิจัยหรือผู้มีทักษะ ความชำนาญในการทำวิจัย ข้าพเจ้ามองว่า กลุ่มคนเหล่านี้มีโอกาสมากกว่า กลุ่มคนทำงานเล็ก ที่ไม่เคยรู้เรื่องวิจัยมาก่อน แต่อยากทำวิจัยเพื่อพัฒนาตนเอง เพื่อพัฒนางาน
ข้าพเจ้าครุ่นคิด (เอาเอง) ต่อไปว่า...
กระบวนท่าต่อไป ที่ข้าพเจ้าจะไปทำต่อ ใน R2R ที่บ้านของตนเองนั้นควรจะทำอย่างไรดี ควรจะเป็นไปแนวทางเดิมคือ เน้นใจ เน้นสุข หรือจะเน้นความวิชาการ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่อยากบังเบียดจิตใจคนทำงานด้วยการยัดเยียดวิชาการที่มากไปให้เขาเหล่านั้น ข้าพเจ้ายังเชื่อมั่นในจุดเดิมว่า กระแสที่สวนทางกันระหว่าง “ความสุข” กับ “ความเป็นวิชาการ” จะทำอย่างไรให้เดินไปด้วยกันได้แบบไม่สวนทาง
คือ...
เรียนรู้ วิจัย วิจัย วิจัย วิจัย... แต่เป็นการเรียนรู้อย่างมีความสุข
นี่คือ โจทย์ที่ข้าพเจ้าจะนำทางในการเดินทางต่อไป...
.........................................................
Note: ตอนนี้มีอะไรอยากทำมากมายเลย โทรหาคุณเอื้อ - พี่อุไร ชำนาญค้า รองผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล...ตั้งแต่เช้า
สวัสดีครับคุณKa-Poom
“ปัญหาในงาน คือ อะไร และจะทำอะไร กระบวนการเป็นอย่าง ผลเป็นอย่างไร” ...
หลักการนี้น่าจะได้ผลดีสำหรับ R2R ครับ...จะหาอ่านตัวอย่างสมบูรณ์ได้ที่ไหนครับ...จะได้เป็นแนวทางให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์อ่านบ้างครับ...
โชคดีครับผม
ตามมาอ่านบันทึกต่อจากบันทึกที่แล้ว...
เหมือนเดิมครับ...
เห็นด้วยและอยากให้มีพื่นที่นี่เยอะๆ ในทุก ๆ แวดวงครับ ไม่เฉพาะแวดวงการศึกษาและแวดวงสาธารณสุขครับผม...
ขอบคุณครับ...
กะปุ๋มถ่ายทอดบันทึกนี้ได้โดนใจมากๆค่ะ เพราะคิดเหมือนกะปุ๋มแต่ไม่รู้จะถ่ายทอดอย่างไร
เรามีความหวังเหมือนกันนะ กะปุ๋ม "พื้นที่ของคนทำงานตัวน้อยๆ แต่มีหัวใจอันยิ่งใหญ่"
หลักการ “ปัญหาในงาน คือ อะไร และจะทำอะไร กระบวนการเป็นอย่าง ผลเป็นอย่างไร” น่าจะยังหลักใหญ่สำหรับ R2R นะ เพียงแต่เติมวิชาการลงไปพอเป็นน้ำจิ้ม ให้เขารู้สึกว่าเป็นน้ำจิ้ม ที่ช่วยทำให้อาหารจานโปรดมีคุณค่ามากขึ้น ไม่ใช่ยาขมแต่อย่างใด
พูดง่าย แต่อาจทำไม่ง่าย ขอเป็นกำลังใจให้กะปุ๋มและคนตัวน้อยหัวใจยิ่งใหญ่ของรพ.ยโสธรค่ะ
สวัสดีค่ะ กะปุ๋ม
......ขอบคุณน้องกะปุ๋มเหลือเกิน...สำหรับทุกๆอย่างค่ะ
สวัสดีค่ะ พี่กะปุ๋ม
มาทักทาย เหนื่อยไหมคะ
* เรื่องเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่ในหัวใจคนทำ”
...
เป็นกำลังใจให้พี่ตลอดไปนะคะ
คิดถึง มีความสุขกับธรรมชาติค่ะ
มีแว้ป...หนึ่ง ของความคิดในส่วนที่ไม่ดีผลุดขึ้นมา...ว่า
"เราไม่ทำเราก็ไม่เดือดร้อน...เรามายุ่งวุ่นวายทำไม เราไม่ได้หวังสิ่งใดใดตอบแทน..."
แต่ความคิดนี้ผลุดขึ้นมาเพียงเสี้ยววินาที...ก็ดับไป
ก็ยังคงเจตนาเหมือนเดิมที่อยากจะช่วยเหลือและแบ่งปันกับคนทำงานคนอื่นๆ...ทั้งที่ไม่เป็นการเบียดเบียนตนเอง และไม่เบียดเบียนผู้อื่น ... ไม่ปรารถนาแม้แต่คำสรรเสริญใดใด...ทั้งสิ้น
หากว่า...มีใครเห็นว่าเรามี...ประโยน์พอทำการสิ่งใดได้ในทางที่ดี ก็จะพยายามให้ความร่วมมือ...
(^____^)
เข้าใจความรู้สึกของคุณกะปุ๋มดีค่ะ ในฐานะที่เป็นเลขาของกก.ประกวด คิดว่าเป็นครั้งแรกของสวรส.ที่จัดงาน เป็นบทเรียนว่าต้องเปิดเวทีให้คนตัวเล็กๆ มีความสำเร็จเล็กๆที่ภาคภูมิใจของตัวเองแยกออกจากผู้ที่เป็นผู้ชำนาญ เพราะเห็นผลงานมารวมกันแล้วก็อึ่งไปเหมือนกันค่ะ แต่กลุ่มทุติยภูมิและปฐมภูมิไม่ผิดหวังเลยค่ะ
องค์การอนามัยโลกให้คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก(31 พฤษภาคม) ว่า “เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจต้านภัยบุหรี่”