ไม่ว่าจะเป็นเวทีบนพื้นดินตามท้องทุ่ง จนถึงเวทีในโรงแรมขนาดใหญ่หรือห้องประชุมระดับประเทศ ก็ได้รับความกรุณาตลอดมาตรงนี้เองที่ทำให้วงเพลงอีแซวอยู่ได้
เพลงอีแซว
สื่อพื้นบ้าน
จากลานดิน
สู่เวทีการแสดง (ภาค
2)
ในตอนแรกของบทความบทนี้ ผมได้กล่าวถึงเพลงอีแซวว่า
เป็นเพลงพื้นบ้านประเภทหนึ่งของภาคกลาง โดยเฉพาะในบริเวณ 8
จังหวัด (ฝั่งตะวันตกของภาคกลาง) ในอดีตที่ผ่านมา
เราจะหาชมเพลงอีแซวได้ก็ต้องรอหน้าเทศกาล แต่มาในยุคปัจจุบัน
เราสามารถชมการแสดงเพลงพื้นบ้านประเภทนี้ได้ตามงานต่าง ๆ ของชุมชน
(เทศบาล, อบต. วัด, โรงเรียน
และงานของชุมชน ของชาวบ้านหลากหลาย)
รูปแบบของการนำเสนอ บางท่านอาจจะคิดว่า เพลงพื้นบ้าน
ก็คงมายืนร้อง มายืนรำกันเป็นแถว ๆ
ดูน่าเบื่อแต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพลงอีแซวในวันนี้
ได้มีการพัฒนาไปจากเดิม ที่มีต้นกำเนิดจากพื้นดิน
ลานโพธิ์หน้าวิหารหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์
ได้ขึ้นมาเล่นบนเวทีโรงลิเก
และมีผู้ออกแบบทำเวทีที่สวยงามให้แสดง อยู่ในสถานที่
ห้องประชุมระดับประเทศ ในโรงแรมขนาดใหญ่ ที่มีระดับ
(น่าภูมิใจกับศิลปะท้องถิ่นที่ชื่อเพลงอีแซวมาก ครับ) ในฐานะ
"สื่อพื้นบ้านจากลานดินสู่เวทีการแสดง" เพลงอีแซววงนี้
ในวันนี้ได้มีการจัดการแสดงที่ผสม ผสานโดยการนำเอาการแสดง
ที่มีเนื้อหา
อันเป็นสาระประโยชน์มาให้ท่านผู้ชมอย่างเต็มที่
การแสดงเพลงพื้นบ้านในยุคปัจจุบัน
จึงต้องปรับไปตามข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งตัวผู้แสดง คือ
นักเรียนในสังกัด
รวมทั้งครูผู้สอนที่มีระดับความสามารถต่างกันตามประสบการณ์ที่มาของความมานะ
อุตสาหะ พยายาม แต่จะอย่างไรก็ตาม
ผมขอนำท่านมองย้อนไปที่ชุมชนในท้องถิ่น
ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากที่ให้การสนับสนุนมหรสพพื้นบ้าน เพียงแต่ว่า
ผู้แสดงเหล่านั้นมีความสามารถพอหรือไม่ที่จะทำให้ผู้ชมนั่งนิ่งด้วยความสุขใจ
มีเสียงหัวเราะ เสียงเฮฮา เสียงปรบมือ
จนถึงกับต้องเสียเงินให้รางวัลผู้แสดง ในเวลาที่นั่งชม 1- 4
ชั่วโมงติดต่อกันได้ ในทุกท้องถิ่นยังมีโอกาสนี้รออยู่
โดยเฉพาะศูนย์รวมใจของชาวบ้าน
ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านนั้น ๆ เมื่อพวกเขามีความเดือดร้อน
ไม่ได้ในสิ่งที่ครอบครัวเขาอยากได้ ก็ไปบนบานที่ศาลเจ้าพ่อกลางทุ่ง
หรือในหมู่บ้านเพื่อขอในสิ่งที่ตนอยากได้ และเมื่อถึงวาระอันสมควร
เขาประสบความสำเร็จในสิ่งที่ขอ มีความสุขใจก็นำเครื่องสังเวยมาถวาย
เรียกว่า “การแก้บน”
จัดหามหรสพไปแสดงถวายเจ้าพ่อ
ยังคงมีให้เห็นอีกเป็นจำนวนมาก
เวทีการแสดงเพลงพื้นบ้าน
รวมทั้งเพลงอีแซวแต่เดิมแสดงกันตามพื้นดิน อาจมีเสื่อปูให้นักแสดง
ป้องกันชุดการแสดงเปื้อน หรือบางทีก็ไม่มีเสื่อปูให้เสียด้วยซ้ำ
เท่าที่เคยมองเห็น ป้าอ้น จันทร์สว่าง ครูเพลงของผม
ท่านเล่นเพลงที่โคนต้นไม้ใหญ่ ๆ ที่ลานวัด ที่ลานหน้าศาลเจ้า
ที่ลานหน้าบ้านก็ยังเคยเห็นและเคยไปร่วมงานแสดงด้วย ต้องยอมรับว่า
การแสดงเพลงพื้นบ้านแทบทุกชนิด ไม่พิถีพิถันเรื่องการแต่งตัว
เรื่องของเวทีที่จะทำการแสดง เป็นความเรียบง่ายที่ลงตัวจริง ๆ
กับวิถีชีวิตของชาวบ้าน
พูดถึงการแต่งเนื้อแต่งตัว
แบบดั้งเดิมชาวบ้านเขาแต่งตัวอยู่บ้าน ไปทำงาน ไปวัด
ออกงานชุมชนกันอย่างไร ก็แต่งตัวไปเล่นเพลงกันอย่างนั้น
แต่งแบบชาวบ้านชาวบ้าน เคยเห็นนักเพลงรุ่นน้า น้าถุง พลายละหาร
นุ่งกางเกงจีน (กางเกงรัสเซีย) ใส่เสื้อคอกลมไปเล่นเพลง
และไม่มีการแต่งหน้าทาปาก อย่างดีก็มีเอาแป้งเม็ผสมกับน้ำผัดหน้าบ้าง
เพื่อให้ดูสีหน้านวลผ่องขึ้น แป้งน้ำ แป้งฝุ่น แป้งเม็ด
มีมาคู่กับชาวบ้านอยู่แล้ว
เรื่องของเครื่องไฟฟ้า เครื่องขยายเสียงในยุคก่อนก็ไม่มี
คนที่เสียงดี ก็มาจากเสียงแท้ ๆของเขาจริง
ไม่สามารถใช้เครื่องปรุงแต่งเสียงได้อย่างในยุคปัจจุบัน
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นักเพลงพื้นบ้านได้มีการประยุกต์ในเรื่องของการแสดง
การแต่งตัว เวทีการแสดง ฉากไฟแสงสีเสียง ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
สถานที่แสดงมีทุกแห่งหน จากแสดงบนพื้นดินไปจนถึงเวทีที่โอ่อ่า
ในศูนย์การประชุมแห่งชาติ ในโรงแรมขนาดใหญ่ ๆ ที่มีชื่อเสียง
หรือในห้องส่งของสถานีโทรทัศน์
ไม่ว่าจะเป็นเวทีไหน จะแสดงบนพื้นดิน
หรือยกระดับเวทีให้สูงส่งขึ้นไปลอยฟ้า มีฉากไฟ
แสงสีที่สดใส
บุคคลที่สำคัญที่สุดในกานแสดงแต่ละครั้งก็คือ
“ท่านผู้ชม”
ผู้ที่มาเฝ้าชมการแสดงเพลงพื้นบ้านหรือเพลงอีแซว
ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบการแสดง ซึ่งในสภาพความเป็นจริง
ผู้ชมที่ชมการแสดงแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1.
ผู้ชมประเภทแฟนคลับ
ชอบเพลงพื้นบ้านจริงๆ
มาเฝ้ารอชมการแสดงตั้งแต่เริ่มจนเลิก
2.
ผู้ชมประเภทที่ขาจร
ชอบหรือไม่ไม่มีใครรู้
มายืนนั่งชมเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็ไป
3.
ผู้ชมประเภทผ่านมาทางนั้นพอดี
เป็นทางผ่าน หากเล่นดี ผู้ชมประเภทนี้จึงจะหยุดดู
การที่จะแสดงความสามารถตามบทบาทที่ได้รับมอบหมาย
สร้างความสนุกสุขใจตรึงผู้ชมให้หยุดนิ่ง ตั้งใจชมการแสดงของเราได้
เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาให้ลึกซึ้งลงไปอีกมาก การสืบสานงานเพลงที่แท้จริงนั้น
มิใช่แค่เพียงฝึกหัดแสดงได้ในระยะสั่น ๆ แล้วก็เลิกราไป หากจะเป็นผู้ที่สืบสานจริง ๆ
จะต้องฝังลึกลงไปในรากที่ติดแน่นไม่คลอนแคลน
แม้ว่าจะมีปัญหามีอุปสรรคขวางหน้าสักเพียงใดก็ไม่หวั่นไหว
จากความรู้ที่ได้รับทราบมา
พี่เกลียว เสร็จกิจ
(ศิลปินแห่งชาติ) รักเพลงพื้นบ้าน อยากจะหัดเพลง แต่พ่อ แม่ไม่ชอบ
ห้ามไม่ให้ไปฝึกหัด ต้องแอบไปฝึกหัดเพลงจนเก่ง
มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัดทั่วประเทศไทย
พี่โชติ สุวรรณประทีป
เริ่มต้นฝึกหัดเล่นลิเก แล้ววกเข้ามาหัดเพลงอีแซว คุณพ่อของท่าน
คือพ่อไสว สุวรรณประทีป ไม่หัดให้
พี่โชติต้องไปหัดเพลงกับครูเพลงคนอื่นจนเก่งกล้ามีชื่อเสียง
พี่สุจินต์ ชาวบางงาม
ชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ พ่อ แม่อยากให้เรียนหนังสือสูง ๆ แบบที่ชาย
(พี่บรรจง) แต่เจ้าตัวไม่ชอบ ไปฝึกหัดเพลงกับพ่อไสว-แม่บัวผัน
โดยปีนขึ้นไปบนต้นไม้สูง ๆ แล้วก็ร้องด้วยเสียงดัง ๆ
จนเป็นพ่อเพลงดีเด่น มีชื่อเสียงในปัจจุบัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดของอาชีพการแสดงเพลงพื้นบ้าน
หาใช่เรื่องของการแต่งตัว หาใช่เรื่องของความหล่อ ความสวย
หาใช่เรื่องของเครื่องประดับที่แพรวพราว หาใช่เรื่องของฉากไฟแสงสี
เวทีที่โอ่อ่าอลังการ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในวันนี้คือ
ท่านผู้ชมที่เสียสละเวลามาชมการแสดง
ทำอย่างไรจึงจะมีผู้ชมมาดูเพลงพื้นบ้าน ทำอย่างไรจะตรึงหัวใจผู้ชม
ให้ท่านนั่งยืนดูการแสดงได้นาน ๆ เพราะถ้าขืนเล่นโดยไม่มีคนดู
การสืบสานเพลงอีแซวที่มุ่งหวัง จะไปฝากไว้ที่ใคร ถ้าไม่ใช่ผู้ชม
เรื่องนี้น่าเป็นห่วงว่า
ขอบเขตของวงการที่เคยแพร่หลายก็จะตีวงแคบเข้ามา
จนในที่สุดอาจไม่มีใครรู้จักเพลงพื้นบ้านประเภทนี้ในอนาคตข้างหน้า
การพัฒนาไปในทางสร้างสรรค์
ให้ก้าวหน้าโดยแท้
จะทำให้เกิดจุดเด่นในภาพจริงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของผู้ชมไปนานแสนนาน
ขอยกให้ท่านผู้ชมเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในงานสืบสานเพลงพื้นบ้าน-เพลงอีแซว
ทุกงานที่ผมนำคณะไปแสดง
จึงต้องร้องบอกเรื่องราวของงานที่ไปเล่นให้ผู้ชมเข้าใจเสียก่อนและที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการด้นกลอนสด
(ไม่มีในคณะอื่นระดับเยาวชน) นักแสดงเกือบทั้งวงมีความสามารถร้องด้นกลอนสด
ๆ ได้อย่างฉับพลันที่หน้าเวทีการแสดง จนมีท่านผู้ใหญ่ที่ใจดี
มีเมตตาให้การยอมรับในความสามารถว่า นี่คือ วงเพลงอีแซว
ที่เป็นชุดบุกเบิก และอยู่ในแนวหน้าของความคิดสร้างสรรค์
กล้าแสดงออกอย่างแท้จริง
ผมนำเอาประสบการณ์
เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2525 วันที่ผมขึ้นเวทีประกวดเพลงอีแซว
เพลงฉ่อยที่หน้าศาลากลางจังหวัดสุพรรณบุรี ด้วยกติกาบังคับ
ให้ร้องด้นกลอนสด เมื่อผมได้รับถ้วยรางวัลชนะเลิศของจังหวัดสุพรรณบุรี
ผมจึงนำเอาความสามารถมาถ่ายทอดยังลูกศิษย์ของผมทุกรุ่น ใครอยากได้
ก็เข้ามาฝึกเอาเอง ครูเป็นผู้แนะนำให้
จึงทำให้ท่านผู้ชมได้เห็นความสามารถของเยาวชนตัวน้อย ๆ
ด้นกลอนสดได้อย่างคล่องแคล่ว น่าพิศวงยิ่งนัก
ที่หน้าเวทีการแสดงเป็นเพียงบทบาทสมมุติ
เพื่อให้ความสุขความสำราญกับท่านผู้ชมในหลายสถานที่หลายจังหวัดแต่มีสิ่งหนึ่ง
ที่ได้รับคือ
ความมีเมตตาของท่านผู้ชมที่มอบให้วงเพลงวงหนึ่งมาอย่างต่อเนื่องนับร้อยนับพันครั้ง
ที่ได้ขึ้นเวทีทำการแสดง ไม่ว่าจะเป็นเวทีกับพื้นดินตามท้องทุ่ง
จนถึงเวทีในโรงแรมขนาดใหญ่หรือห้องประชุมระดับประเทศ
ก็ได้รับความกรุณาตลอดมา ตรงนี้เองที่ทำให้
วงเพลงอีแซวอยู่ได้อย่างยั่งยืน
ชำเลือง
มณีวงษ์ / ศิลปินดีเด่น รางวัลราชมงคลสรรเสริญด้านเพลงพื้นบ้าน
2547
โทรศัพท์ติดต่อ โทร. 035-591012 และโทรสาร
035-592040 (โรงเรียน)
โทร 035-591271 (บ้าน) 084-976-3799
(มือถือ)
Email
: [email protected]