คุณจะรู้สึกอย่างไร? เมื่อคุณเป็น...โรคที่รักษาไม่หาย โรคที่มีแต่จะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉันรู้จักกับเจ้าเบาหวานมาตั้งแต่เด็กๆเนื่องจากคุณแม่และญาติทั้งทางคุณพ่อและคุณแม่เป็นกัน ตอนแรกก็รู้สึกเฉยๆ เพราะไม่เห็นจะมีการเปลี่ยนเเปลงอะไรในชีวิตประจำวันมากมายนัก บางคนกินยาทุกวัน บางคนกินเมื่อนึกได้ บ้างก็ไม่กินเลย เช่นเดียวกับการไปหาหมอบางคนก็ไปทุกครั้งที่หมอนัด บางคนไปเมื่อมีเวลาว่าง บ้างก็ไม่ไปเลยจนกระทั่งมีปัญหา
พอฉันอายุประมาณ12 ปีฉันก็รู้เรื่องของเจ้าเบาหวานเพิ่มเติมอีก เมื่อคุณแม่กำลังจะมีน้องอีกคนให้ฉัน ในขณะที่คนทั้งบ้านกำลังดีใจที่จะได้มีสมาชิกอีกคนในบ้าน แต่ตอนนั้นฉันสังเกตุว่าคุณแม่ต้องฉีดยาทุกวัน ฉันถามคุณแม่ว่า "มาม้าฉีดอะไร" คุณแม่ตอบว่า "ฉีดยาเบาหวาน" ฉันถามต่อว่า "เจ็บไหม?" คุณแม่ตอบว่า "ไม่เจ็บหรอก" ตอนนั้นฉันก็เลยรู้ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานท้องก็ต้องฉีดยา จากการที่คุณแม่ฉีดยาทุกวันทำให้สุขภาพของน้องฉันทั้ง2 คนสุขภาพดี ร้องไห้ ยิ้ม หัวเราะ น้ำหนักกำลังพอเหมาะเป็นสีสันของบ้านจนถึงทุกวันนี้
2ปีต่อจากนั้นมีข่าวคราวจากทางคุณอาว่าเป็นโรคไตวาย อีกคนเป็นทั้งไตวายเเละเบาหวานขึ้นตามองเห็นไม่ชัด ซึ่งทั้ง2 คนต้องฟอกไต, 1ปีหลังจากนั้นคุณปู่ที่โดนตัดขาใส่ขาเทียมไปแล้ว1 ข้างก็ต้องถูกตัดขาอีก 1 ข้าง หลังจากนั้นท่านก็นั่ง-นอนอยู่บนเตียงบ้าง รถเข็นบ้าง
ตอนเป็น นศพ.ปี3 รู้ว่ามีลูกพี่ลูกน้องอายุประมาณ12-14ปีมาเที่ยวที่บ้าน(คนนี้เข้าออก รพ.เป็นประจำเนื่องจากเป็นเบาหวานสูงจนช็อค) เอาเครื่องเจาะน้ำตาล(DTX)มาด้วยเลยได้เจาะกันทั้งบ้าน ปรากฎว่าน้องของฉันได้ค่าน้ำตาลสูง(>200) เลยไปตรวจที่ รพ. สรุปว่าน้องของฉันก็เป็นเบาหวาน ,มีเบาหวานเป็นเพื่อนซี้ตั้งเเต่นั้นเป็นต้นมา ฉันถามน้องว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง? น้องตอบว่า "เฉยๆ"
หลังจากที่น้องของฉันมีเจ้าเบาหวานมาเป็นเพื่อนซี้เเล้ว ฉันสังเกตุว่าน้องกินของที่หวานๆมันๆน้อยลง ตอนเเรกฉันก็ไม่รู้อะไรหรอก เวลาไปกินข้าวนอกบ้านก็จะไป swensen,pizza อื่นๆ จะเห็นน้องทำหน้าบูดๆแล้วบอกว่า"หนูกินไม่ได้อะ" หลังจากนั้นจึงเป็นที่ตกลงกันทั้งบ้านว่าจะไม่เข้าไปกินหรือสั่งอะไรที่น้องกินไม่ได้
คุณแม่โทรมาถามว่า ลุงหมอแนะนำให้น้องไปเข้าค่ายเบาหวานที่ศิริราชจะให้ไปดีไหม? ฉันตอบโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา "ไปสิ" แต่น้องก็ยังไม่ค่อยอยากไปเพราะไม่กล้าไปคนเดียว แต่ด้วยเเรงสนับสนุนจากคนทั้งบ้านน้องก็เลยได้ไปค่ายเบาหวาน สิ่งที่น้องของฉันพกกลับมาด้วยก็คือวิธีที่จะอยู่กับเพื่อนซี้เบาหวานอย่างมีความสุข ทะเลาะกันน้อยที่สุด
ไปใช้ทุนเป็นแพทย์ใช้ทุนปี1 บังเอิญไปเจาะเลือด ปรากฏว่า อ้าว...เรามีเบาหวานเป็นเพื่อนซี้เเล้วเหรอเนี่ย!
ถ้ามีคนถามว่า รู้สึกยังไงบ้าง?(เหมือนที่ฉันถามแม่เเละน้อง) ฉันคงตอบเหมือนน้องว่า "เฉยๆ" แต่คนที่อยู่รอบข้างฉัน(เพื่อนๆและผู้ร่วมงาน)ต่างกังวลเเทนฉันไปกันหมด
สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึก เฉยๆ ก็คือ ฉันเห็นตัวอย่างของคนที่เป็นเบาหวานมาตั้งแต่เด็ก เห็นผลแทรกซ้อนของเบาหวานมาก็มาก(ทั้งจากครอบครัวของฉันเองเเละคนไข้),ที่ฉันรู้เพิ่มเติมจากน้องของฉันก็คือความรู้ที่เรียนมา แต่ความรู้สึกเฉยของฉันไม่ได้ทำให้ฉันทำตัวเฉยๆนะ...
สิ่งที่ฉันทำหลังจากที่มีเบาหวานเป็นเพื่อนซี้เหมือนกับน้องก็คือ....
ออกกำลังกายเท่าที่จะมีเวลาไปได้ พยายามไป fitness,ปรัลเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างเช่นเวลาจะขึ้น liftก็เดินขึ้นบันไดไปแทน
เวลากินอาหารก็เลือกผักมากหน่อย,อยากกิน pepsi,coke ก็เปลี่ยนเป็น pepsi maxx ,coke lightตอตนี้มี sprite lightแล้วนะ,เวลาชงกาแฟก็ใช้น้ำตาลเทียมเอา ส่วนครีมเทียมก็ใช้ครีมเทียมที่มีไขมันน้อยหรือใช้นมสดรสจืดพร่องมันเนยแทน,ขนมปังก็กินโฮว์วีทเเทน- บางคนอาจคิดว่าลำบากจังเลย แต่ฉันว่ามันก็สนุกดีที่เราจะคิดว่า อาหารที่เราชอบกินประจำถ้าเราเปลี่ยนเป็นเมนูที่มีน้ำตาลเเละไขมันน้อยลงจะมีหน้าตาอย่างไร อร่อยเท่ากันหรือไม่
ณ ตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้เริ่มยาเบาหวานนะเพราะเเค่ทำ2 วิธีนี้ DTX ของฉันก็ยังอยู่ในช่วง80-110 mg% HbA1C 6.0-6.5 แต่อย่านิ่งนอนใจไป ฉันก็ยังต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าฉันมีเบาหวานเป็นเพื่อนซี้อยู่นะ!
ขอบคุณนะคะที่กรุณาอ่านของมือใหม่หัดเขียนคะ
สวัสดีคะ
ยินดีต้อนรับสู่ GotoKnow.org คะ
ดิฉันอ่านแล้ว ประทับใจจังเลยคะ และขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
อยากให้ถ่ายทอดประสบการณ์เหล่านี้ออกมาอีกจังเลยคะ
สำหรับที่ GotoKnow.org นั้น มีสมาชิกหลายๆ ท่านที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องเบาหวาน มีคุณหมอหลายท่านที่เขียนบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดิฉันอยากแนะนำให้ติดตามอ่านดูคะ เผื่อจะได้แลกเปลี่ยนระหว่างกันได้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการดูแลตัวเองของคุณying-noi คะ
ลองตามอ่านดูที่ http://gotoknow.org/post/tag/เบาหวาน คะ
สำหรับการใช้งานนั้น ลองอ่านดูได้ที่ http://gotoknow.org/planet/howto คะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ