ฉันเป็นหมอที่คนในร.พ.รู้สึกว่า.......คิดอะไรก็ไม่รู้......แปลกคนอยู่เรื่อย.........แต่จากบันทึกที่มาชักนิยายเล่า.............เห็นตัวอย่างหรือยังว่า..........การคิดอะไรแปลกๆ........ทำให้ได้พบกับสิ่งดีๆที่ซ่อนอยู่มากมาย..........นี้เป็นตัวอย่างของการคิดนอกกรอบของหมอเจ๊นะจ๊ะ...........จุ๊.....จุ๊.......อยากรู้เคล็ดลับตามอ่านต่อเถอะนะค่ะ
อ.ขจิต เขียนไว้ในบล็อกว่า “ทุกวันนี้....... ทุกคนถูกทำให้รู้สึกว่าไร้ศักยภาพ...... และไร้ศักดิ์ศรี…….. เพราะว่าโครงสร้างอำนาจและโครงสร้างเงิน......... องค์กรต่างๆ ในสังคมล้วนเป็นองค์กรอำนาจ .........ไม่ว่าจะเป็นองค์กรทางการเมือง....... ทางราชการ......... ทางการศึกษา ..........ทางธุรกิจ......... และทางศาสนา…… นอกจากนั้น ยังมีโครงสร้างอำนาจเงินที่กดทับคนทั้งหมด……… ในโครงสร้างอำนาจนี้ก่อให้เกิดความบีบคั้น........ ความไร้ศักยภาพ ความหงุดหงิดรำคาญใจ และความรู้สึกสิ้นหวัง (hopelessness)……… ทั้งหมดล้วนทำลายสุขภาพจิต……..ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และศักยภาพแห่งความสร้างสรรค์ “
ก่อนมาพบกับคนอื่นๆในเฮฮาศาสตร์4.........การพบกับชาวแซ่เฮ 2 คน......พี่หมอคนชอบวิ่ง และคุณราณี ..........กระตุกสัมผัสที่ 6 ของฉันว่า.........องค์กรของเขามีความสุขและ การสร้างสรรค์ เป็นอำนาจ.......การได้ฟังความคิดของพี่หมอคนชอบวิ่งคราวดูงานที่พิดโลกบอกให้รู้ว่า........องค์กรของเขาใช้โครงสร้างทางอำนาจ และ โครงสร้างเงินที่มีแฝงอยู่ในองค์กรของตน..........รุกคืบเพื่อรุกฆาตความบีบคั้นต่างๆที่กดทับใครๆให้มันหายนะตายไป........และเมื่อมาพบกับคนอื่นๆในเฮฮาศาสตร์4.........สัมผัสที่ 6 ก็บอกอีกว่า......นี่มันกองทัพซานตาคลอสเลยนะนี่...........คนพันธุ์อะไรนี่.........กะอีแค่แจกกอด.........ก็ทำให้ใจคนจอดอยู่กับการทำดี.......โอ้......จ๊อด........ฝันไปรึเปล่านี่
ในภาษาที่ใช้พูด........ มีคำอยู่ 3 คำที่ฉันให้เกรดแก่มันต่างกัน.........คำ 3 คำนั้น คือ “คน” …….”ฅน” ........ และ “มนุษย์” เรียงลำดับตามนี้เกรดมันจะเรียงจากต่ำไปสูง......ฉันให้เกรด “คน” ที่เกรดต่ำสุด ด้วยเพราะว่า “คน” เป็นผลพวงของความบีบคั้นต่างๆจากอำนาจองค์กรที่ไปกดทับ
“คน” มัววุ่นและยุ่งอยู่กับ “การคน” ..........มันจึงมีแต่เรื่องพันกันยุ่งจนลืมคว้าความสุขที่มีอยู่รอบตัวมาเป็นรางวัลให้ตัวเอง.......เพราะมัวแต่วุ่น จึงต้องวิ่ง แบบคนมีกรรม...... จะเที่ยวเหมือนเขาก็ไม่ได้เที่ยว......เที่ยวไปได้นิดเดียวก็ต้องรีบกลับไปวิ่งวุ่นต่อ.........เที่ยวไปได้นิด.....เอ้าสะดุดอารมณ์.....หวิบง่าย (โกรธง่าย).......ปากไว......ไวไฟคำพูด......สารพัดสารเพที่ถูกกวนถูกคน...........ใครที่พบว่ามีเหตุการณ์ของตัวเองคล้ายๆกับที่ฉันชักนิยายอยู่นี้........อย่าเพิ่งร้อนตัวว่า......เจ็บอีกแล้ว........อันนี้....อะฮั้น....ไม่ได้ว่าใครในเฮฮาศาสตร์4ค่ะ........
ฉันให้นิยาม ความหมายของ “คน” ว่า........มันหมายถึง ผู้ที่ไม่รู้จักความสุขที่อยู่รอบตัวเอง........แต่ชอบคว้าเรื่องที่ไม่เป็นสุขมากวนคนตัวเองตามประสาคนที่อยู่ไม่สุข….ชอบง่วนอยู่กับการคนการกวนให้มันยุ่งเหยิงเพิ่มไปอีก……คนเพลินจนไปติดกับอยู่ที่ความสุขของปลอม........
ส่วนคำว่า “ฅน” ฉันว่ามันหมายถึง “คน” ที่มียึดมั่นถือมั่นกับอัตตา ตัวกู ของกูโดยในความคิด รับรู้เรื่องราว คิดบวก คิดลบ ทำดี ทำลบ รักดี ปฏิเสธชั่ว รัก ชังคนอื่น และรักตัวเองในด้านดีๆๆ รู้ดี รู้ชั่ว รู้ควร ไม่ควร แต่ยังไม่ลงมือปฏิบัติเพื่อฝึกตัวเองให้คงมีด้านบวกไว้ ละวางด้านลบทิ้งไป...........สำหรับ “มนุษย์” นั้น หมายถึง หมายถึง “ฅน” ซึ่งฝึกตนได้ ฝึกการเก็บเกี่ยวเอาด้านบวกมาคนในตัวกู ของกูจนมันตกผลึกไว้เป็นสมบัติแห่งตนได้.......จนกลายเป็น "คน" ที่เกิดใหม่
หากถามความคิดฉันว่า ความบีบคั้นอะไรที่สำคัญมากและทำให้เสีย”ฅน” เหลือแค่เพียง “คน” ฉันว่าการติดกับอยู่ที่ความสุขจอมปลอม คือ ความบีบคั้นที่สำคัญของฅน เหตุที่สำคัญเพราะมันคือต้นเหตุที่ทำให้คนรู้สึกสุขไม่จริง จึงรู้สึกไม่มีศักดิ์ศรี เพราะเสียอิสรภาพของตนให้กับมัน มันแอบอยู่ในตัวตน มองมันไม่เห็น หาเท่าไรก็ไม่เจอ แม้ตั้งใจหา ทั้งๆที่มันอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่รู้จักมัน
เมื่อได้สัมผัสกับกลุ่มคนแซ่เฮ ก่อนจะเป็นสมาชิกใหม่ของพวกเขาเต็มตัว สิ่งที่ฉันสัมผัส ในเรื่องอำนาจในองค์กร มันมีอยู่ก็จริง สิ่งที่ฉันเห็นจากจอมยุทธทุกท่านในเรื่อง “ศีล” ล้วนเป็นเรื่องของการทำเรื่องดีๆ พ่อรักแม่ แม่รักลูก ลูกรักพ่อแม่ ผู้เยาว์รักผู้อาวุโส ผู้อาวุโสรักผู้เยาว์ “ศีล” เหล่านี้ทำให้อำนาจองค์กรเกิดขึ้น มันเป็นความรักที่เกิดจากความเมตตา ความอาทรต่อกันจึงเกิดตามมา การให้และการรับล้วนเกิดจากความรักที่มีความพอดีเข้ามาผสม เมื่อสิ่งเหล่านี้ผสมกลมกลืนกันได้ดี บรรยากาศที่เกิดขึ้นจึงปราศจากภัย เมื่อคนใหม่อย่างฉันได้เข้าไปสัมผัส ฉันจึงไม่รู้สึกว่า ฉันจะต้องกลัวภัย เมื่อไม่คิดว่ามีภัย ก็ไม่ต้องสร้างกำแพงในใจขึ้นไว้ขวางกั้นพวกเขาให้เข้าไม่ถึงตัว ด้วยเหตุนี้มั๊ง เมื่ออยู่กับพวกเขา ฉันจึงมีความสุข ยิ้มได้ตลอดเวลา แม้ยังไม่รู้จักใคร แม้มาเขียนบันทึก ยังกล้าชักนิยายล้อ.....เล่นด้วยยาวๆ......เหมือนรู้จักกันมานานแสนนาน
อย่างที่พร่ำบอกว่า เมื่อเข้าไปร่วม หลายคนคอยชวนให้ปลงใจเป็นพวก กลับมาแล้วยังมีคนตามชวน การที่ใครๆที่รู้จักเราครั้งแรก แล้วเปิดใจให้อยากให้เราเป็นพวก ฉันว่าใช่จะง่ายหากไม่ฝึกฝนตัวเองให้เหมาะกับการยอมรับ เขียนมาถึงนี่ ใช่ว่าฉันจะแอบไปฝึกตนเฉพาะเพื่อไปพบชาวแซ่เฮ แต่มาบอกว่า ฉันมีเคล็ดลับที่เพิ่งได้มาก่อนพบชาวแซ่เฮ ที่ฉันเพิ่งปัดฝุ่นมันขึ้นมาและใช้งานมัน
มันเป็นเคล็ดลับที่อยู่ในตัวฉันอยู่แล้ว แต่ฉันลืมมันไป เหมือนคนเล่นไพ่ ที่อยากมีไพ่ดีๆในมือ แต่ถึงรอบหนึ่ง เห็นว่ามันไม่สำคัญ เลยเผลอทิ้งมันไปโดยไม่ใยดี เคล็ดลับที่ว่านี้เปรียบเหมือนไพ่ดีที่ทิ้งไปที่ควรเก็บคืนมา เมื่อฉันหยิบมันคืนกลับมาใส่ในมือใหม่ ความดีของมันจึงส่งผลต่อฉันอย่างที่ทุกท่านได้สัมผัส ไพ่ใบที่ทิ้งไป ที่ฉันเก็บคืนมา มันอยู่ที่นี่ไง
การรู้จักมองหาความดีและสิ่งที่น่าชื่นชมของผู้อื่น ชื่นชมและมีความสุขกับมัน พร้อมกับนำมันมาเติมเต็มให้กับตนเอง และแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นคืนกลับให้เจ้าของรับรู้ด้วย
ที่ฉันปฏิบัติอยู่เป็นเรื่องง่ายๆแค่นี้เอง ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมว่ามันมีพลังมากมาย จนสร้างความสุขโดยที่ไม่ต้องวิ่งหา ไม่ต้องไปคนชีวิตให้มันมากความ........ใครๆที่เจอ......แม้เพียงครั้งแรกก็เปิดใจให้......แถมให้ใจกลับมาอีกเป็นพะเรอเกวียน................
ชิ้นก่อนส่งการบ้านเกี่ยวกับ “ศีล” และเอ่ยถึง “ศีล 5” บางคนก็เลยทำตัวหายจ้อยไป.......ก็เลยต้องมาบอกเพิ่มว่า........ฉันเองคิดนอกกรอบกับเรื่อง “ศีล5” ว่า.........ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธะท่านตรัสแสดงไว้ ด้วย ทั้ง 5 ข้อเหมาะสำหรับคนอย่างเราๆที่จะถือปฏิบัติได้ ............ฉันว่าท่านไม่ได้บังคับว่า ต้องปฏิบัติทั้ง 5 ข้อ ท่านเพียงแต่บอกว่า ถ้าต้องการให้ ความปกติเกิดขึ้น ให้ใช้กรอบ 5 ข้อนี้ปฏิบัติตน........และศีลข้อ 1 ฉันว่าสำคัญ เพราะผลลัพธ์จากการกระทำ มันคือ ความเมตตา เมื่อความเมตตาเกิด เรื่องดีๆหลายเรื่องจะตามมา..........จอมยุทธทุกท่านในเฮฮาศาสตร์ 4 ทุกท่านถือศีลข้อนี้แน่...........จึงเกิดมีมาซึ่งความเมตตาต่อกัน...........และเพราะมีศีล.........อิสรภาพและศักดิ์ศรีจึงแผ่ไปถึงความสร้างสรรค์........ไม่ถูกกดทับด้วยอะไรทั้งสิ้น.........นอกจากอำนาจแห่งความเมตตา.........พ่อครูบาก็ยิ่งแล้วใหญ่........เมตตาขนาดขนแมลงทับกลับบ้าน.....อิๆๆๆ........คิดถึงพ่อครูค่ะ.......คิดถึงพี่เอก (ลุงเอก).........คิดถึงป้าจุ๋ม........คิดถึงพี่บางทราย........และทุกคนค่ะ
ที่เอาเคล็ดลับนี้มาบอก เพราะไม่อยากให้เข้าใจผิดว่า หมอเจ๊บรรลุธรรมแล้วนะเจ้าค่ะ......อิอิ......ฮิฮิ......ก๊ากๆๆๆๆ.......
ภาพนี้ใช้กล้องอัตโนมัติ ถ้าจะให้ชัดก็ต้องใช้กล้องแบบปรับโฟกัสได้ นำมาให้ดูเพื่อสื่อว่า หากหวายลิง คือ ความดี ความน่าชื่นชมนั้นอยู่ใกล้ตัวเรามากๆ เรามองเห็นแบบธรรมดาๆ เราก็จะเห็นมันไม่ชัด เราจึงไม่มีความสุขกับมัน ดังนั้นในตอนแรกที่จะฝึกตนมองหาความดี ความน่าชื่นชมของใครๆที่ไม่ใช่ตัวเรา มันจะมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นคล้ายๆภาพหวายลิงที่ถ่ายมาให้ดูนี้ เมื่อมีความรู้สึกเหล่านั้นขึ้น ก็ให้บอกตัวเองว่า ต้องมีการปรับโฟกัส เพื่อเราจะได้มองเห็นความดี ความน่าชื่นชมนั้นชัดขึ้นเอง แล้วภาพสวยๆของหวายลิงก็จะปรากฏมาให้เห็นได้ สมคุณค่าของมัน เหมือนดังภาพนี้
พ่อครูบาขา น้องมะปรางคนสวยจ๋า..........ถือว่าเอาการบ้านมาส่งอีกชิ้นแล้วนะค่ะ......
สวัสดีเจ้าค่ะ คุณน้าหมอเจ๊
คิดถึงจังเลย...รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ --->น้องจิ ^_^
เป็นบันทึกที่ให้สติดีจังครับน้องหมอเจ๊
มีหลายๆอย่างที่เป็นอย่างที่น้องหมอเจ๊กล่าว
หากสำรวจรอบตัวเองอย่างรอบคอบก็พบหลายอย่าง
เคล็ดหรือจะเรียกว่าหลักคิดก็ได้นั้น มีประโยชน์มากๆ และเรามักพลาดที่จะมองมุมนี้ มักเอาทัศนคติหรือหลักของตัวเองไปกำหนด ไปวัดคนอื่นหมด ไม่เห็นมุมดีดีของคนอื่น..พี่ก็เป็นบ่อยๆ อิอิ
นี่ไงนักปฏิบัติจึงชอบที่จะหาเวลามานั่งสงบจิตสำรวจตัวเองค้นบางอย่างให้พบแล้วออกไปสู้ชีวิตใหม่ด้วยสิ่งที่ดีกว่าครับ
ขอบคุณที่ให้สติดีดีครับน้องหมอเจ็ครับ
โดนนนนน.......ใจ...จริงๆ
ขอบพระคุณค่ะพี่หมอเจ๊
อ่านบันทึกนี้แล้ว เรียกสติตัวเองกลับมาได้อีกโขเลย
ข้าน้อยขอคารวะ 1 จอก
ขอยกน้ำชาชูให้ 1 จอก
พี่หมอเจ๊ เขียนบทความน่าอ่านมาก แค่เปรียบเทียบ คน ฅน มนุษย์ ก็อึ้งแล้ว แถมยังพูดเรื่องศีลได้อย่างน่าสนใจอีก
ในชีวิตการทำงานบางครั้งเราสามารถแก้ปัญหาได้หลายอย่าง แต่เมื่อมันผ่านไปแล้วเราไม่ค่อยได้กลับมาคิดเลยว่ามันสำเร็จเพราะอะไร พอลองหยิบเอาเรื่องความสำเร็จของเราที่ได้กระทำมาวิเคราะห์องค์ประกอบ ก็จะได้คำตอบที่น่าสนใจแบบที่พี่หมอเจ๊นำมาวิเคราะห์นี่แหละ
ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆให้อ่านครับ รักพี่สาวคนนี้มากๆครับ
พี่หมอเจ๊ครับ พบอาจารย์แล้วจะเล่าให้ฟัง ว่ามีลูกศิษย์กล่าวถึง(นินทา) อิอิๆๆ สรุปว่าอาจารย์สอนแล้ว...พี่เข้าใจยากใช่ไหม ฮ่าๆๆๆ จะได้ฟ้องถูก วี๊ดวิว ติดคุณหมออ๋อ มา อิอิๆๆ
พี่หมอเจ๊คะ
หนูเพิ่งพักสายตา จากอ่านหนังสือเกี่ยวกับการวิจัย มาเจอบันทึกนี้ อดพักไม่ได้ละ ขออ่านๆ พี่หมอเขียนเชื่อมโยงกิจกรรมเฮฮาศาสตร์ ในมุมมองอีกมิติที่น่าสนใจ อ่านยังไงก็ตามลุ้น อยากรู้ อยากเห็นว่าพี่หมอเจ๊ มีมุมมองอย่างไร
ขอบคุณคะ
สวัสดีครับ
อ่านบันทึกของคุณพี่หมอเจ๊และท่านอื่นๆ มีกั๊ก มีโต๊ด แต่ของผมชอบเต็งอย่างเดียวครับโยนลงตรงๆ อิอิ
............
ขำๆๆ พี่หมอเจ๊ น้องจิอุตส่าห์ ชมว่าพี่หมอยังสาว เลยแกล้งชมเรียกคุณน้าไงครับ
เดี๋ยวให้น้องขิเรียกคุณยายเลยดีกว่า ฮ่าๆๆ