หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
พ.ญ. ศิริรัตน์ เอกศิลป์ สุวันทโรจน์

ความคิดนอกกรอบของหมอเจ๊.........ต่อเฮฮาศาสตร์4


มันเป็นความรักที่เกิดจากความเมตตา ความอาทรต่อกันจึงเกิดตามมา การให้และการรับล้วนเกิดจากความรักที่มีความพอดีเข้ามาผสม เมื่อสิ่งเหล่านี้ผสมกลมกลืนกันได้ดี บรรยากาศที่เกิดขึ้นจึงปราศจากภัย

ฉันเป็นหมอที่คนในร.พ.รู้สึกว่า.......คิดอะไรก็ไม่รู้......แปลกคนอยู่เรื่อย.........แต่จากบันทึกที่มาชักนิยายเล่า.............เห็นตัวอย่างหรือยังว่า..........การคิดอะไรแปลกๆ........ทำให้ได้พบกับสิ่งดีๆที่ซ่อนอยู่มากมาย..........นี้เป็นตัวอย่างของการคิดนอกกรอบของหมอเจ๊นะจ๊ะ...........จุ๊.....จุ๊.......อยากรู้เคล็ดลับตามอ่านต่อเถอะนะค่ะ

 

อ.ขจิต เขียนไว้ในบล็อกว่า  ทุกวันนี้....... ทุกคนถูกทำให้รู้สึกว่าไร้ศักยภาพ...... และไร้ศักดิ์ศรี…….. เพราะว่าโครงสร้างอำนาจและโครงสร้างเงิน......... องค์กรต่างๆ ในสังคมล้วนเป็นองค์กรอำนาจ .........ไม่ว่าจะเป็นองค์กรทางการเมือง....... ทางราชการ......... ทางการศึกษา ..........ทางธุรกิจ......... และทางศาสนา…… นอกจากนั้น ยังมีโครงสร้างอำนาจเงินที่กดทับคนทั้งหมด……… ในโครงสร้างอำนาจนี้ก่อให้เกิดความบีบคั้น........ ความไร้ศักยภาพ ความหงุดหงิดรำคาญใจ และความรู้สึกสิ้นหวัง (hopelessness)……… ทั้งหมดล้วนทำลายสุขภาพจิต……..ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และศักยภาพแห่งความสร้างสรรค์  

 

ก่อนมาพบกับคนอื่นๆในเฮฮาศาสตร์4.........การพบกับชาวแซ่เฮ 2 คน......พี่หมอคนชอบวิ่ง และคุณราณี ..........กระตุกสัมผัสที่ 6  ของฉันว่า.........องค์กรของเขามีความสุขและ  การสร้างสรรค์ เป็นอำนาจ.......การได้ฟังความคิดของพี่หมอคนชอบวิ่งคราวดูงานที่พิดโลกบอกให้รู้ว่า........องค์กรของเขาใช้โครงสร้างทางอำนาจ และ โครงสร้างเงินที่มีแฝงอยู่ในองค์กรของตน..........รุกคืบเพื่อรุกฆาตความบีบคั้นต่างๆที่กดทับใครๆให้มันหายนะตายไป........และเมื่อมาพบกับคนอื่นๆในเฮฮาศาสตร์4.........สัมผัสที่ 6 ก็บอกอีกว่า......นี่มันกองทัพซานตาคลอสเลยนะนี่...........คนพันธุ์อะไรนี่.........กะอีแค่แจกกอด.........ก็ทำให้ใจคนจอดอยู่กับการทำดี.......โอ้......จ๊อด........ฝันไปรึเปล่านี่

 

ในภาษาที่ใช้พูด........ มีคำอยู่ 3  คำที่ฉันให้เกรดแก่มันต่างกัน.........คำ 3 คำนั้น คือ  คน” …….”ฅน ........ และ มนุษย์    เรียงลำดับตามนี้เกรดมันจะเรียงจากต่ำไปสูง......ฉันให้เกรด คน  ที่เกรดต่ำสุด   ด้วยเพราะว่า  คน เป็นผลพวงของความบีบคั้นต่างๆจากอำนาจองค์กรที่ไปกดทับ   

 

คน  มัววุ่นและยุ่งอยู่กับ การคน  ..........มันจึงมีแต่เรื่องพันกันยุ่งจนลืมคว้าความสุขที่มีอยู่รอบตัวมาเป็นรางวัลให้ตัวเอง.......เพราะมัวแต่วุ่น จึงต้องวิ่ง แบบคนมีกรรม......    จะเที่ยวเหมือนเขาก็ไม่ได้เที่ยว......เที่ยวไปได้นิดเดียวก็ต้องรีบกลับไปวิ่งวุ่นต่อ.........เที่ยวไปได้นิด.....เอ้าสะดุดอารมณ์.....หวิบง่าย (โกรธง่าย).......ปากไว......ไวไฟคำพูด......สารพัดสารเพที่ถูกกวนถูกคน...........ใครที่พบว่ามีเหตุการณ์ของตัวเองคล้ายๆกับที่ฉันชักนิยายอยู่นี้........อย่าเพิ่งร้อนตัวว่า......เจ็บอีกแล้ว........อันนี้....อะฮั้น....ไม่ได้ว่าใครในเฮฮาศาสตร์4ค่ะ........

 

 

ฉันให้นิยาม  ความหมายของ คน  ว่า........มันหมายถึง ผู้ที่ไม่รู้จักความสุขที่อยู่รอบตัวเอง........แต่ชอบคว้าเรื่องที่ไม่เป็นสุขมากวนคนตัวเองตามประสาคนที่อยู่ไม่สุข….ชอบง่วนอยู่กับการคนการกวนให้มันยุ่งเหยิงเพิ่มไปอีก……คนเพลินจนไปติดกับอยู่ที่ความสุขของปลอม........

 

 

ส่วนคำว่า ฅน ฉันว่ามันหมายถึง คน  ที่มียึดมั่นถือมั่นกับอัตตา ตัวกู  ของกูโดยในความคิด รับรู้เรื่องราว คิดบวก คิดลบ  ทำดี  ทำลบ รักดี ปฏิเสธชั่ว รัก ชังคนอื่น และรักตัวเองในด้านดีๆๆ  รู้ดี รู้ชั่ว รู้ควร ไม่ควร แต่ยังไม่ลงมือปฏิบัติเพื่อฝึกตัวเองให้คงมีด้านบวกไว้ ละวางด้านลบทิ้งไป...........สำหรับ มนุษย์ นั้น หมายถึง หมายถึง ฅน  ซึ่งฝึกตนได้   ฝึกการเก็บเกี่ยวเอาด้านบวกมาคนในตัวกู ของกูจนมันตกผลึกไว้เป็นสมบัติแห่งตนได้.......จนกลายเป็น "คน" ที่เกิดใหม่

 

 

หากถามความคิดฉันว่า   ความบีบคั้นอะไรที่สำคัญมากและทำให้เสียฅน  เหลือแค่เพียง คน     ฉันว่าการติดกับอยู่ที่ความสุขจอมปลอม   คือ  ความบีบคั้นที่สำคัญของฅน   เหตุที่สำคัญเพราะมันคือต้นเหตุที่ทำให้คนรู้สึกสุขไม่จริง  จึงรู้สึกไม่มีศักดิ์ศรี  เพราะเสียอิสรภาพของตนให้กับมัน   มันแอบอยู่ในตัวตน  มองมันไม่เห็น  หาเท่าไรก็ไม่เจอ  แม้ตั้งใจหา  ทั้งๆที่มันอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่รู้จักมัน

  

เมื่อได้สัมผัสกับกลุ่มคนแซ่เฮ  ก่อนจะเป็นสมาชิกใหม่ของพวกเขาเต็มตัว  สิ่งที่ฉันสัมผัส  ในเรื่องอำนาจในองค์กร  มันมีอยู่ก็จริง     สิ่งที่ฉันเห็นจากจอมยุทธทุกท่านในเรื่อง ศีล   ล้วนเป็นเรื่องของการทำเรื่องดีๆ   พ่อรักแม่  แม่รักลูก  ลูกรักพ่อแม่   ผู้เยาว์รักผู้อาวุโส  ผู้อาวุโสรักผู้เยาว์  ศีล เหล่านี้ทำให้อำนาจองค์กรเกิดขึ้น   มันเป็นความรักที่เกิดจากความเมตตา ความอาทรต่อกันจึงเกิดตามมา  การให้และการรับล้วนเกิดจากความรักที่มีความพอดีเข้ามาผสม   เมื่อสิ่งเหล่านี้ผสมกลมกลืนกันได้ดี  บรรยากาศที่เกิดขึ้นจึงปราศจากภัย    เมื่อคนใหม่อย่างฉันได้เข้าไปสัมผัส  ฉันจึงไม่รู้สึกว่า ฉันจะต้องกลัวภัย   เมื่อไม่คิดว่ามีภัย ก็ไม่ต้องสร้างกำแพงในใจขึ้นไว้ขวางกั้นพวกเขาให้เข้าไม่ถึงตัว    ด้วยเหตุนี้มั๊ง  เมื่ออยู่กับพวกเขา  ฉันจึงมีความสุข   ยิ้มได้ตลอดเวลา แม้ยังไม่รู้จักใคร  แม้มาเขียนบันทึก  ยังกล้าชักนิยายล้อ.....เล่นด้วยยาวๆ......เหมือนรู้จักกันมานานแสนนาน 

 

 

อย่างที่พร่ำบอกว่า เมื่อเข้าไปร่วม หลายคนคอยชวนให้ปลงใจเป็นพวก  กลับมาแล้วยังมีคนตามชวน  การที่ใครๆที่รู้จักเราครั้งแรก แล้วเปิดใจให้อยากให้เราเป็นพวก   ฉันว่าใช่จะง่ายหากไม่ฝึกฝนตัวเองให้เหมาะกับการยอมรับ   เขียนมาถึงนี่ ใช่ว่าฉันจะแอบไปฝึกตนเฉพาะเพื่อไปพบชาวแซ่เฮ     แต่มาบอกว่า ฉันมีเคล็ดลับที่เพิ่งได้มาก่อนพบชาวแซ่เฮ  ที่ฉันเพิ่งปัดฝุ่นมันขึ้นมาและใช้งานมัน   

 

 

มันเป็นเคล็ดลับที่อยู่ในตัวฉันอยู่แล้ว แต่ฉันลืมมันไป  เหมือนคนเล่นไพ่ ที่อยากมีไพ่ดีๆในมือ แต่ถึงรอบหนึ่ง เห็นว่ามันไม่สำคัญ เลยเผลอทิ้งมันไปโดยไม่ใยดี   เคล็ดลับที่ว่านี้เปรียบเหมือนไพ่ดีที่ทิ้งไปที่ควรเก็บคืนมา   เมื่อฉันหยิบมันคืนกลับมาใส่ในมือใหม่   ความดีของมันจึงส่งผลต่อฉันอย่างที่ทุกท่านได้สัมผัส   ไพ่ใบที่ทิ้งไป ที่ฉันเก็บคืนมา มันอยู่ที่นี่ไง  

 

การรู้จักมองหาความดีและสิ่งที่น่าชื่นชมของผู้อื่น   ชื่นชมและมีความสุขกับมัน  พร้อมกับนำมันมาเติมเต็มให้กับตนเอง  และแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นคืนกลับให้เจ้าของรับรู้ด้วย  

 

ที่ฉันปฏิบัติอยู่เป็นเรื่องง่ายๆแค่นี้เอง   ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมว่ามันมีพลังมากมาย  จนสร้างความสุขโดยที่ไม่ต้องวิ่งหา ไม่ต้องไปคนชีวิตให้มันมากความ........ใครๆที่เจอ......แม้เพียงครั้งแรกก็เปิดใจให้......แถมให้ใจกลับมาอีกเป็นพะเรอเกวียน................

 

ชิ้นก่อนส่งการบ้านเกี่ยวกับ ศีล และเอ่ยถึง ศีล 5  บางคนก็เลยทำตัวหายจ้อยไป.......ก็เลยต้องมาบอกเพิ่มว่า........ฉันเองคิดนอกกรอบกับเรื่อง ศีล5  ว่า.........ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธะท่านตรัสแสดงไว้ ด้วย ทั้ง 5 ข้อเหมาะสำหรับคนอย่างเราๆที่จะถือปฏิบัติได้ ............ฉันว่าท่านไม่ได้บังคับว่า ต้องปฏิบัติทั้ง 5 ข้อ ท่านเพียงแต่บอกว่า ถ้าต้องการให้ ความปกติเกิดขึ้น ให้ใช้กรอบ 5 ข้อนี้ปฏิบัติตน........และศีลข้อ 1 ฉันว่าสำคัญ เพราะผลลัพธ์จากการกระทำ มันคือ ความเมตตา  เมื่อความเมตตาเกิด  เรื่องดีๆหลายเรื่องจะตามมา..........จอมยุทธทุกท่านในเฮฮาศาสตร์ 4 ทุกท่านถือศีลข้อนี้แน่...........จึงเกิดมีมาซึ่งความเมตตาต่อกัน...........และเพราะมีศีล.........อิสรภาพและศักดิ์ศรีจึงแผ่ไปถึงความสร้างสรรค์........ไม่ถูกกดทับด้วยอะไรทั้งสิ้น.........นอกจากอำนาจแห่งความเมตตา.........พ่อครูบาก็ยิ่งแล้วใหญ่........เมตตาขนาดขนแมลงทับกลับบ้าน.....อิๆๆๆ........คิดถึงพ่อครูค่ะ.......คิดถึงพี่เอก (ลุงเอก).........คิดถึงป้าจุ๋ม........คิดถึงพี่บางทราย........และทุกคนค่ะ 

 

ที่เอาเคล็ดลับนี้มาบอก เพราะไม่อยากให้เข้าใจผิดว่า  หมอเจ๊บรรลุธรรมแล้วนะเจ้าค่ะ......อิอิ......ฮิฮิ......ก๊ากๆๆๆๆ.......

 

 หวายลิง

 

ภาพนี้ใช้กล้องอัตโนมัติ   ถ้าจะให้ชัดก็ต้องใช้กล้องแบบปรับโฟกัสได้   นำมาให้ดูเพื่อสื่อว่า  หากหวายลิง คือ ความดี ความน่าชื่นชมนั้นอยู่ใกล้ตัวเรามากๆ  เรามองเห็นแบบธรรมดาๆ  เราก็จะเห็นมันไม่ชัด   เราจึงไม่มีความสุขกับมัน   ดังนั้นในตอนแรกที่จะฝึกตนมองหาความดี ความน่าชื่นชมของใครๆที่ไม่ใช่ตัวเรา   มันจะมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นคล้ายๆภาพหวายลิงที่ถ่ายมาให้ดูนี้    เมื่อมีความรู้สึกเหล่านั้นขึ้น  ก็ให้บอกตัวเองว่า  ต้องมีการปรับโฟกัส  เพื่อเราจะได้มองเห็นความดี ความน่าชื่นชมนั้นชัดขึ้นเอง แล้วภาพสวยๆของหวายลิงก็จะปรากฏมาให้เห็นได้  สมคุณค่าของมัน  เหมือนดังภาพนี้

หวายลิง

พ่อครูบาขา  น้องมะปรางคนสวยจ๋า..........ถือว่าเอาการบ้านมาส่งอีกชิ้นแล้วนะค่ะ......

หมายเลขบันทึก: 180433เขียนเมื่อ 3 พฤษภาคม 2008 18:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

สวัสดีเจ้าค่ะ คุณน้าหมอเจ๊

คิดถึงจังเลย...รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ --->น้องจิ ^_^

เป็นบันทึกที่ให้สติดีจังครับน้องหมอเจ๊

มีหลายๆอย่างที่เป็นอย่างที่น้องหมอเจ๊กล่าว

หากสำรวจรอบตัวเองอย่างรอบคอบก็พบหลายอย่าง

เคล็ดหรือจะเรียกว่าหลักคิดก็ได้นั้น มีประโยชน์มากๆ และเรามักพลาดที่จะมองมุมนี้ มักเอาทัศนคติหรือหลักของตัวเองไปกำหนด ไปวัดคนอื่นหมด  ไม่เห็นมุมดีดีของคนอื่น..พี่ก็เป็นบ่อยๆ อิอิ

นี่ไงนักปฏิบัติจึงชอบที่จะหาเวลามานั่งสงบจิตสำรวจตัวเองค้นบางอย่างให้พบแล้วออกไปสู้ชีวิตใหม่ด้วยสิ่งที่ดีกว่าครับ

ขอบคุณที่ให้สติดีดีครับน้องหมอเจ็ครับ

  • หนูจิเอ๊ย
  • .......
  • ถ้าครูอ้อย คือ แม่......สะมะนึก คือ พ่อ
  • หมอเจ๊ก็เป็นป้าหนูจิแหล้วละ
  • .......
  • พยายามจะเหน่อให้เหมือน
  • แต่ทำไม่ได้อ่ะ
  • ......
  • เอาใหม่นะหนู....เรียกผิดให้เรียกใหม่......นะค่ะ
  • คิดถึงหนูจ๊า
  • สักวันจะไปบุกสุพรรณดูบ้างนะค่ะ

โดนนนนน.......ใจ...จริงๆ 

ขอบพระคุณค่ะพี่หมอเจ๊

อ่านบันทึกนี้แล้ว เรียกสติตัวเองกลับมาได้อีกโขเลย

ข้าน้อยขอคารวะ 1 จอก

  • เอาน้ำปานะมาคารวะ ยามดึก
  • ที่เขียนข้างบน
  • ของท่านอาจารย์หมอ ประเวศ วะสีครับ
  • ท่านเคยเขียนบอกพวกเรา
  • จากบันทึกอันนี้ครับ
  • ท่านให้แนวคิดไว้ครับ

 

  • อ.ขจิตค่ะ
  • ยังไม่เคยบอกว่าพี่หมอเจ๊เป็นลูกศิษย์อาจารย์หมอประเวศเลยใช่ไหมค่ะ
  • ..........
  • แต่ก่อนตอนยังเอ๊าะๆ
  • พี่ฟังอาจารย์หมอสอนไม่ใคร่เข้าใจ่อะ
  • แบบว่าเป็นประเภทวัยรุ่นใจร้อนอะไรประมาณนั้น
  • ..........
  • ทำงานไปๆ.....เห็นน้องๆหมอที่ผ่านมาหลายรุ่น.....
  • ต้องเข้าไปร่วมแก้ปัญหาก็หลายบทเรียน
  • ก็ยังไม่ซึ้ง
  • ...........
  • จนสุดท้ายลองเอาพุทธภาษิตเรื่อง "ใจเขาใจเรา" มาใช้จริงๆ
  • ใช้ตามดูใจของตัวเองเปรียบเทียบก่อน
  • จึงได้เข้าใจความรู้สึกของคนค่ะ
  • รักษาตัวนะค่ะ
  • พี่บางทรายค่ะ
  • ดีใจที่เห็นประเด็นค่ะ
  • ............
  • ...........
  • ครูสุค่ะ
  • ลองนำไปทำดูนะค่ะ
  • หมอเจ๊ทำไปๆ.....รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขขึ้นโขเลยค่ะ
  • เดี๋ยวนี้เลยไม่ใคร่มีเรื่องไม่ถูกใจใครเลยค่ะ
  • อ้อ! น้ำชาอร่อยค่ะ
  • ...........
  • ..........
  • พ่อครูบาค่ะ
  • น้ำชาอร่อยชื่นใจค่ะ
  • ขออีก....ขออีก.....

 

พี่หมอเจ๊ เขียนบทความน่าอ่านมาก แค่เปรียบเทียบ คน ฅน มนุษย์ ก็อึ้งแล้ว แถมยังพูดเรื่องศีลได้อย่างน่าสนใจอีก

ในชีวิตการทำงานบางครั้งเราสามารถแก้ปัญหาได้หลายอย่าง แต่เมื่อมันผ่านไปแล้วเราไม่ค่อยได้กลับมาคิดเลยว่ามันสำเร็จเพราะอะไร พอลองหยิบเอาเรื่องความสำเร็จของเราที่ได้กระทำมาวิเคราะห์องค์ประกอบ ก็จะได้คำตอบที่น่าสนใจแบบที่พี่หมอเจ๊นำมาวิเคราะห์นี่แหละ

ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆให้อ่านครับ รักพี่สาวคนนี้มากๆครับ

พี่หมอเจ๊ครับ พบอาจารย์แล้วจะเล่าให้ฟัง ว่ามีลูกศิษย์กล่าวถึง(นินทา) อิอิๆๆ สรุปว่าอาจารย์สอนแล้ว...พี่เข้าใจยากใช่ไหม ฮ่าๆๆๆ จะได้ฟ้องถูก วี๊ดวิว ติดคุณหมออ๋อ มา อิอิๆๆ

พี่หมอเจ๊คะ

หนูเพิ่งพักสายตา จากอ่านหนังสือเกี่ยวกับการวิจัย มาเจอบันทึกนี้ อดพักไม่ได้ละ ขออ่านๆ พี่หมอเขียนเชื่อมโยงกิจกรรมเฮฮาศาสตร์ ในมุมมองอีกมิติที่น่าสนใจ อ่านยังไงก็ตามลุ้น อยากรู้ อยากเห็นว่าพี่หมอเจ๊ มีมุมมองอย่างไร

ขอบคุณคะ

  • อ.ขจิตค่ะ
  • แบบว่า ทุกเรื่องที่อ.ประเวศพูดนั่นนะ
  • .......
  • ถ้าไม่ลองลงมือทำเอง.....จะไม่ค่อยรู้เรื่องจริงๆนะว่าอาจารย์พูดอะไร....รู้แต่ว่าดี.....แต่ดียังไงไม่ซึ้งค่ะ
  • .......
  • ก็วิทยายุทธอาจารย์ประเวศนะมันเป็นแบบสูงสุดคืนสู่สามัญอะไรประมาณนี้อ่ะ
  • คนที่กำลังไต่ขึ้นไปให้สูงๆๆๆ.....
  • กลัวจุกอั๊ก......ไม่กล้ากระโดดกลับลงมา....กลัวเจ็บ...ฮิฮิ
  • ........
  • พอกลัว...มันก็งงๆๆๆ....ปิดตาปิดใจเรียนรู้อะซิ
  • ........
  • ผ่านการลองทำไประดับหนึ่ง....รื้อเรื่องอาจารย์พูดมาทำความเข้าใจใหม่
  • .........
  • หลายๆรอบ
  • ทีนี้ละซึ้งเลย
  • .........
  • ไปเจอกันที่บ้านพ่อครูบาไหมค่ะ
  • อัยการชาวเกาะค่ะ
  • มีหลายเรื่องที่แวบเข้ามา
  • แต่พอจะลงมือเขียนมันลืมแฮะ
  • จริงอย่างที่น้องว่าไว้ตอนแต่งเพลงเลยว่า.....คิดอะไรออกเขียนไปก่อน.....
  • สงสัยคราวนี้พี่ต้องเปลี่ยนลุค.....แฮ่ม...
  • ไปไหนแม้แต่กินข้าวก็ต้องหิ้วคอมฯละมั๊ง
  • ..........
  • เว่อมั๊ยนี่
  • .........
  • ตอนนี้แค่นั่งเขียนที่บ้านใช้ PC
  • ลูกๆยังแซวเลยว่า ....พิมพ์....พิมพ์....พิมพ์....
  • .........
  • แล้วก็จัดคิวใช้คอมฯให้แม่...พ่อ...ตัวเองใช้ให้ลงตัว
  • ขอบคุณที่ตามอ่านนะค่ะ
  • ........
  • แฮ่ม.....ใช้สำนวนเหมือนนักเขียนเลยเห็นมั้ยนี่
  • น้องมะปรางค่ะ
  • พี่มาทวนที่น้องหนิงถาม.....เลยลองเปลี่ยนแนวดูบ้างค่ะ....
  • ........
  • น้องหนิงถามว่า.....หมอเจ๊จะเขียนแต่นิราศเหรอ
  • ........
  • ความจริงก็อยากเขียนแนวนี้อยู่แล้ว
  • ........
  • เลยได้ข้อสรุปว่า.....จะลองเขียนแบบสารคดี.....ปนเรื่องชีวิต...ปนเรื่องสุขภาพ.....ปนเรื่องวิชาการ.....เป็นเรื่องเล่าการเรียนรู้ของตัวเองดูค่ะ

สวัสดีครับ

อ่านบันทึกของคุณพี่หมอเจ๊และท่านอื่นๆ มีกั๊ก มีโต๊ด แต่ของผมชอบเต็งอย่างเดียวครับโยนลงตรงๆ  อิอิ

............

ขำๆๆ พี่หมอเจ๊  น้องจิอุตส่าห์ ชมว่าพี่หมอยังสาว เลยแกล้งชมเรียกคุณน้าไงครับ

เดี๋ยวให้น้องขิเรียกคุณยายเลยดีกว่า  ฮ่าๆๆ

  • สะมะจ๋า
  • ......
  • พี่ลืมไปว่าก๊กนี้เขามีอีกแซ่.....ก็แซ่อำไงค่ะ
  • เลยหลงคิดว่าน้องจิไล่เรียงผิด
  • ......
  • อิอิ....ถ้างั้นหนูจิเรียกใหม่นะ....ที่น้าหมอเจ๊บอกไปบอกผิดจ๊า....บอกใหม่แล้วนา
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท