Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

วันทีสี่ของการเดินทาง บนเส้นทางสีขาว เส้นทางแห่งบุญ : ศาลาพระอุปคุตหรือบ่อพญานาค


กิจฺโฉ มนุสฺสปฺปฏิลาโภ : การเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นเรื่องยาก , ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ : ผู้ฝึกตนดีแล้วเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย

           ใครที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับพญานาค รวมทั้งสงสัยว่า พญานาคมีจริงหรือไม่ พญานาคเป็นยังไง  เมืองไทยมีพญานาคด้วยหรือ บั้งไฟพญานาคเกิดจากพญานาคจริงหรือเปล่า วันนี้เรามีคำตอบจากหลวงพ่อ (พระครูปลัดวีระนนท์  วีรนนฺโท) มาเล่าให้ฟัง น่าตื่นเต้นมากๆ           

            เมื่อคืนไม่รู้ว่าทำไมต้องท้องเสียกลางดึก พยายามกำหนด นอนหนอ  หลับหนอเพื่อจะได้หลับแล้วไม่ต้องลุกมาเข้าห้องน้ำ แค่นอนในกุฏิยังไม่กล้าลืมตาเลย  นี่ต้องเดินออกมา ไม่อยากจะบอกเลยค่ะว่ากลัวมาก  แล้วที่วัดก็ไม่ได้มีแต่นางไม้นะคะ  มีอย่างอื่นอีกด้วย  แต่ทนแล้วก็ทนไม่ไหว ต้องชวนนุ้ยออกมาเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อน สงสัยเหมือนกันทำไมคนอื่นไม่เป็น ไม่ท้องเสียเหมือนเรา  เพราะอาหารที่เราทานก็เหมือนกับคนอื่นๆ  เสร็จแล้วก็รีบเดินกลับมาหลับตาต่อกุฏิ  (กลั๊ว กลัว)

            เช้าวันนี้โชคดีหลวงพ่อลงสอนกรรมฐานด้วย กำหนด พองหนอ  ยุบหนอ เราได้ปฏิบัติกรรมฐาน นั่งสมาธิ  แล้วรู้สึกดีมากเลย ความปวดมาเร็ว แต่เราก็ทนปวดขาได้นานขึ้น แม้จะยังพ่ายแพ้อยู่ (ออกจากสมาธิ)  แต่ก็สู้ต่อ (เข้าสมาธิกำหนด พองหนอ  ยุบหนอ ใหม่) พอหมดเวลา(6 โมงเช้า) หลวงพ่อก็นำสวดมนต์แผ่เมตตา กรวดน้ำ  แล้วแนะนำให้ไปเดินจงกรมที่องค์พระ (ยืน)  ท่านว่า ช่วงเช้าๆแบบนี้ที่นั่นอากาศดีมากๆ  แต่ด้วยความขี้เกียจปฏิบัติของพวกเราก็เลยกลับกุฏิกัน (แฮะๆ ลูกศิษย์ไม่เอาไหนค่ะ) นอนยืดหลังกันสักพักให้หายเมื่อยแล้วออกมาช่วยแม่ชีกวาดใบไม้ในสวนหน้ากุฏิ

            ขณะที่กวาดใบไม้อยู่พวกเราก็เห็นหลวงปู่เสาร์ห้า เดินออกมากวาดใบไม้ด้วย  เราดีใจกันมาก  เพราะเล็งไว้หลายวันแล้วว่าจะเข้าไปกราบหลวงปู่ เพราะหลวงปู่ท่านก็เก่งนะ (นุ้ยเล่าให้ฟัง) ท่านก็รู้อะไรดีๆเยอะ แล้วท่านก็ทำพวกเทียนสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เทียนโชคลาภ ท่านดูดวงเก่งด้วย (เป็นไงล่ะน่าสนใจไหม) แต่เราเข้าไปหาไม่ได้สักที หลวงปู่ไม่ค่อยว่าง  พรบอกว่าได้ยินเสียงหลวงปู่แล้วคิดว่าหลวงปู่เป็นคนเหนือ  (พรเค้าเป็นสาวเชียงใหม่ค่ะ)  วันนี้เป็นวันที่หลวงปู่จะเดินทางไปเชียงใหม่แล้ว  พวกเราก็หาโอกาส หาจังหวะที่จะเข้าไปกราบหลวงปู่กัน  เราส่งพรเข้าไปคุยก่อน พรคุยได้นิดเดียวแต่ก็รู้ว่าท่านเป็นคนเหนือจริงๆ เกรงใจท่านค่ะ เพราะท่านกำลังทำงานอยู่  ก็เลยคิดกันว่าเดี๋ยวสายๆ  ค่อยหาจังหวะเข้าไปกราบท่าน

            เสร็จจากทำความสะอาดก็ได้ก็เวลาฉันเช้า พวกเราก็ปฏิบัติหน้าที่กันเหมือนเดิม  เสร็จแล้วต่างก็แยกย้ายกันพักผ่อน ช่วงสายพวกเราก็ตั้งใจว่าจะไปปฏิบัติกรรมฐานที่ศาลาพระอุปคุต  ศาลานี้ตั้งอยู่กลางบ่อน้ำ ลมเย็นสบาย  มีปลาอยู่เยอะ บรรยากาศดีแต่ก็มีเสียงดังจากการก่อสร้างเข้ามาบ้าง  ก่อนจะไปพวกเราก็แวะไปดูที่รับแขกของหลวงพ่อก่อนว่าหลวงพ่อกับหลวงปู่อยู่ไหม  โชคดีมากหลวงพ่ออยู่ แขกก็ไม่เยอะ  พวกเราก็เข้าไปกราบขอสอบอารมณ์กับหลวงพ่อ

            เราถามท่านว่านั่งสมาธิทำให้สุขภาพดีจริงหรือไม่  ท่านก็ตอบว่า จริง เพราะทำให้ร่างกายปรับธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ  ช่วยสร้างสมดุลย์ในร่างกาย ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น แล้วสมาธิก็ช่วยรักษาโรค เพราะถ้าตอบในทางวิทยาศาสตร์นะคะ ก็บอกได้ว่าสมองหลั่งเอ็นโดฟิน ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย  ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น  และในทางพระพุทธศาสนา  เมื่อจิตสงบเลือดจะผ่องใส เป็นการขับไล่สารพิษในร่างกาย  ช่วยให้อวัยวะต่างๆในร่างกายขับของเสียและสารพิษออกมาได้ดีขึ้น ความเจ็บ ความปวดที่เกิดขึ้นเป็นการรักษา เป็นการปรับสมดุลย์ในร่างกาย อืม...เข้าใจแล้ว มิน่าล่ะคนที่ปฏิบัติกรรมฐานถึงได้สุขภาพดี  แข็งแรง หน้าตาผ่องใสดูอ่อนเยาว์กันทุกคน

            ก่อนจะลาหลวงพ่อไปปฏิบัติธรรมต่อ  เราก็ขอถามหลวงพ่อเรื่องข้อห้ามที่เขียนไว้ก่อนขึ้นไปบนศาลาพระอุปคุต (ถ้าจำได้เราเคยเล่าไว้แล้ว)  ข้ออื่นก็เข้าใจนะคะ  แต่เรื่องที่ห้ามแต่งชุดดำขึ้นไปนี่ไม่เข้าใจจริงๆ สงสัยมากด้วยค่ะ ว่าทำไมถึงห้ามเรื่องนี้  หลวงพ่อมองหน้าเรานิดนึง ก่อนจะเล่าว่า บ่อนั้นมีพญานาค ตอนที่ท่านธุดงค์มาถึงที่นี่ (ตอนนั้นยังไม่เป็นวัดนะ) ท่านปักกลดอยู่ริมบ่อ  ก็มีพญานาคตัวใหญ่ ยาวขึ้นมาเลย พญานาคท่านไม่ชอบความหม่นหมอง ความเศร้าหมอง  ถ้าแต่งชุดดำขึ้นไปจะเคราะห์ร้าย  วิธีบูชาพญานาคให้นำดอกมะลิ 13 ดอก ใส่กระทงใบตอง ลอยในบ่อบูชาพญานาค  ท่านจะให้โชคให้ลาภ (อึ้งค่ะอึ้ง  แต่ก็ถามต่อนะคะ) มีพญานาคกี่ตนค่ะ ท่านตอบว่า มี 2 ตน  (โอ้โฮ้! ...แค่ตัวเดียวก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว  นี่มีตั้ง 2 เครียดเลยเรา) เราก็ถามหลวงพ่อว่า แล้วเราไปนั่งสมาธิ เดินจงกรมบนนั้น ท่านพญานาคไม่ว่าเอาหรือค่ะ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า  ไม่ว่าหรอกท่านชอบให้คนมาปฏิบัติธรรมบนนั้น  (ถึงหลวงพ่อจะตอบแบบนี้นะ เราก็ไม่หายกลัวหรอก จิตตกไปอีกค่ะ)  เราก็เลยถามหลวงพ่อไปว่า  หลวงพ่อค่ะ ตกลงพญานาคนี่มีจริงๆหรือค่ะ (มีจริง) ลักษณะเป็นไงค่ะ เหมือนในรูปไหมค่ะ (ไม่เหมือนในรูป แต่คล้ายๆแบบนั้น มีเดือย ตัวยาวๆ) แล้วบั้งไปพญานาคนี่ของจริงหรือค่ะ (จริง) ตอนนั้นทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้น ทั้งอึ้ง ก็เลยคิดคำถามต่อไม่ออก 

            หลวงพ่อท่านก็เมตตาเล่าเรื่องพระอุปคุตด้วย (เพื่อนๆรู้ไหมพระอุปคุต ท่านเป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่ง ในหนังสือ ปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ปริเฉทที่ ๒๘ ตอนมารพันธปริวรรต ได้กล่าวถึงพระอุปคุตไว้ว่า เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปได้ ๒๑๘ พระวัสสา และพระบรมศาสดากาลเมื่อยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ได้ตรัสพยากรณ์ไว้ว่า สืบต่อไปภายหน้า จะมีภิกษุรูปหนึ่งนามว่าพระอุปคุตเถระ จักได้ทรมานพระยามารให้เสื่อมพยศอันร้าย พ่ายแพ้อานุภาพ แล้วจะกล่าวปฏิญาณปรารถนาซึ่งพุทธภูมิ ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (ผู้นำกองทัพธรรมแผ่กระจายไปทั่วโลก) เป็นพระเถระผู้เปี่ยมด้วยพุทธานุภาพ และฤทธิ์เดชเกรียงไกร สามารถปราบพญามารและกำจัดสิ่งชั่วร้ายได้  สรุปเรื่องราวก็มีอยู่ว่า เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 2 หลังพุทธปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้อินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชสมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ท่านได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูป มากมายทั่วทั้งชมพูทวีป (เค้าว่ามากถึงแปดหมื่นสี่พันองค์) เป็นผู้รวบรวมและขุดค้นพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อจะนำไปบรรจุในสถูปที่พระองค์ทรงสร้างไว้ทุกแห่ง  เมื่อการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงปรารภ ที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมดนั้น เป็นการมโหฬารยิ่ง ตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และเพื่อให้การฉลองสมโภช เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปราศจากอุปสรรค จึงใคร่จะอาราธนาพระสงฆ์ขีณาสพ ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ มาเป็นผู้คุ้มครองงาน ให้ปราศจากการรบกวนจากมารร้ายต่าง ๆ แต่พระสงฆ์ในนครปาตลีบุตร ไม่มีรูปใดที่จะสามารถ เป็นผู้คุ้มครองงานมหกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ ให้พ้นจากภัยทั้งหลายทั้งปวงได้ (โดยเฉพาะภัยจากพญาวัสสวดีมาร ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย) นอกเสียจากพระอุปคุตเถระผู้เดียวเท่านั้น พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งตัวแทน ๒ รูป ลงไปอาราธนาพระอุปคุตเถระผู้เรืองฤทธิ์   มาช่วยรักษาความปลอดภัย ในงานสมโภชครั้งนี้ ซึ่งกล่าวกันว่า พระอุปคุตเถระองค์นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียว เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุข อยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ภายในปราสาทแก้วที่เนรมิตขึ้น เหนือรัตนะบัลลังก์ จะออกจากสมาบัติ เหาะขึ้นมาบิณฑบาต ในโลกมนุษย์ ในวันพุธเพ็ญกลางเดือนเท่านั้น และในครั้งนี้เอง พระอุปคุตเถระ ถูกพระภิกษุสองรูป ผู้ได้อภิญญาสมาบัติ ชำแรกมหาสมุทร ลงมาถึงตัวท่านแจ้งว่า ให้ท่านจงเป็นธุระ ป้องกันพญามารอย่าให้รบกวนงานฉลองพระสถูปเจดีย์ ของพระเจ้าอโศกมหาราชได้ฝ่ายพระยามาร เมื่อทราบเรื่องการสมโภชพระบรมสารีริกธาตุก็ไม่พอใจ จึงแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นานาเพื่อทำลายพิธี แต่พระอุปคุตก็แก้ไขได้ทุกครั้ง จนในที่สุด พระอุปคุตได้เนรมิตหมาเน่าแขวนไว้ที่คอของพระยามาร แล้วอธิษฐานไม่ให้ผู้ใดแก้ได้ ทำให้พระยามารได้รับความอับอาย ต้องขึ้นไปขอร้องให้เหล่าเทวดาบนสวรรค์ช่วยแก้ให้ แต่ก็ไม่มีใครช่วยได้ จึงต้องกลับมาขอให้พระอุปคุตช่วย พระอุปคุตซึ่งทราบด้วยญาณว่าพระยามารยังคงมีทิษฐิมานะ จึงไม่ยอมช่วย ปล่อยให้หมาเน่าพันคอพระยามารอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเสร็จพิธี เป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๘ วัน ทำให้พระยามารมีความโกรธแค้นเป็นที่สุด จึงได้กล่าวรำพึงรำพันขึ้นว่า ช่างกระไรพระเถระรูปนี้ ตัวท่านเป็นเพียงสาวกของพระพุทธองค์เท่านั้น ยังอวดดีมาทำร้ายเราจนแทบประดาตาย เป็นพระภิกษุที่ใจคอโหดเหี้ยมที่สุด พระพุทธองค์ท่านยังดีกว่ามาก เมื่อครั้งทรงตรัสรู้นั้น เราพร้อมด้วยเสนามารจำนวนร้อยโกฏิ ยกทัพมาเพื่อประทุษร้าย แต่เราสู้บารมีไม่ได้ ต้องพ่ายภัยตัวเอง เรื่องนั้นถึงสาหัสเพียงนี้ ไม่มีเลยที่พระพุทธองค์จะทรงกริ้วและประทุษร้ายตอบ ยังทรงเมตตาปราณีแก่เรา

            เมื่อระลึกได้ดังนั้นพระยามารก็เกิดความเลื่อมใสในบารมีธรรมของพระพุทธองค์ จึงยกอัญชลีกรอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาล พระอุปคุตเมื่อได้ทราบความปรารถนาของพระยามารก็มีความยินดี และปลดปล่อยพระยามารไปในที่สุด.....) ตอนนี้พระอุปคุตท่านไปโปรดพญานาค อยู่ที่มืองบาดาล  แล้วรู้ไหมว่าเป็นพระอุปคุตที่ศาลาเป็นปางอะไร  หลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นปางจกบาตร  เพราะตอนที่นิมนต์ท่านขึ้นมาบนโลกท่านกำลังจะฉันเพล  แต่บนโลกเลยเพลแล้ว มีคนมาทักท่านว่าพระอะไรฉันหลังเพล  ท่านก็เลยแหงนหน้ามองพระอาทิตย์  พระอาทิตย์ก็ตกลงเป็นเวลาเช้าวันใหม่ แล้วท่านก็ฉันอาหารต่อ  พระอุปคุตนะคะ ใครบูชาก็จะได้โชคลาภและคุ้มภัยต่างๆได้ดีค่ะ

            สรุปแล้ววันนั้นเราก็ไม่ไปปฏิบัติกรรมฐานที่ศาลาพระอุปคุต หรือที่ๆเราเรียกกันว่า บ่อพญานาค เพราะเรายังทำใจไม่ได้ค่ะ (ใครจะไปกล้าละคะ) ก็เลยไปปฏิบัติกรรมฐานที่ศาลายาวแทน  แต่เพื่อนๆจำไว้นะคะ  ถ้ามาวัดนี้ พยายามอย่าใส่ชุดดำ ชุดสีน้ำเงิน หรือชุดสีหม่นๆ มาเด็ดขาด เพราะถ้าเพื่อนๆเดินขึ้นไปด้วยชุดสีแบบนี้ก็จะได้เคราะห์ร้ายกลับมา ให้ใส่สีสดใสไว้ค่ะหรือไม่ก็สีขาว เพราะถึงเพื่อนๆจะไม่ขึ้นไปบนศาลา แต่ขอให้รู้นะคะว่าที่วัดมีบ่อน้ำล้อมรอบอยู่  ถ้าคิดในแง่การเดินทางนะคะ(แบบคนคิดเยอะ) ไปทางไหนก็มีสิทธิ์เจอค่ะ  ใส่ชุดสีขาวดีกว่าค่ะ เทวดา นางไม้ ท่านจะได้อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

            หลังจากนั้น  เราก็ได้ฟังจากปากแม่ชีจี๊ดทีหลังในรายละเอียดการบูชาพญานาคเพิ่มเติม ว่านอกจากดอกมะลิแล้วต้องมีธูป 2 เทียน 2 และคาถาบูชาท่านด้วย เรายังไม่มีโอกาสจดมาฝากเพื่อนๆนะคะ  ไว้ไปคราวหน้าจะเอามาฝาก เผื่อเพื่อนๆสนใจจะบูชาท่าน  แต่ถ้าเพื่อนๆไม่ไปปฏิบัติธรรม  ถามแม่ชีหรือพระท่านๆคงไม่อยากเล่าให้ฟัง  เพราะคนไม่ปฏิบัติจะไม่ได้รู้ ไม่ได้เห็นด้วยตนเอง ก็จะไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ต่อว่าเค้า ตัวเองก็จะบาปเปล่าๆ  แต่ที่แม่ช่เล่าให้ฟัง เพราะเห็นว่าเราปฏิบัติธรรมมาหลายวัน น่าจะศรัทธา น่าจะพอรับได้ ถึงได้เล่าให้ฟัง  เราก็มารู้รายละเอียดของพญานาคในบ่อในวันสุดท้ายก่อนกลับนั่นแหละคะ

            เรื่องพญานาคนี่เรายังมีรายละเอียดเพิ่มเติมนะคะ  เพราะได้ถามหลวงพ่อและพระอาจารย์ในวันต่อไป ไว้ค่อยเล่าให้เพื่อนๆฟังต่อวันหลังค่ะ

            คิดๆดูแล้วนะคะ  นุ้ยเป็นเพื่อนที่ดีมากเลย  ไม่เคยเล่าอะไรแบบนี้ให้เราฟังเลย  ทั้งๆที่รู้ว่าที่นี่มีนางไม้ มักกะลีผล นารีผล พญานาค  แต่ไม่เคยเล่าให้เพื่อนได้เตรียมตัวเตรียมใจก่อนมาเลย  นุ้ยบอกว่า หลวงพ่อเคยบอกว่า คนที่มาวัดนี้ส่วนหนึ่งเคยเป็นพญานาคมาแล้วในชาติก่อน (อ้าว..แล้วเราล่ะ) ส่วนเรื่องที่ศาลาพระอุปคุตก็เพิ่งจะรู้ตอนแพรถามนี่แหละ เฮ้อ! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ  เพราะขนาดอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์อย่างนุ้ยยังมาพิสูจน์ด้วยตนเองและเชื่อ ศรัทธาหลวงพ่อเลย  เรามาทีหลังก็ต้องเชื่อตามรุ่นพี่แล้วล่ะ

            โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ  ไม่ได้ให้เชื่อหรือศรัทธาอะไรง่ายๆค่ะ  ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองพิสูจน์ด้วยตนเองละคะ  พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติกรรมฐานนะคะ เพราะกรรมฐานเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง  เป็นสิ่งที่เห็นได้ไม่จำกัดกาล  เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า  ท่านจงมาดูเถิด .......



ความเห็น

ไหว้สาคุณแพรภัทรครับ...

พระอุปคุตจะแปลงกายเป็นเณรน้อยขึ้นมาบิณฑบาตรในวันเป็งปุ๊ด(คืนเพ็ญวันพุธ)ของคนล้านนาครับ

คนล้านนาจึงนิยมใส่บาตรตอนกลางคืนวันเพ็ญพุธ 

รอวันที่ 12  พฤศจิกายน 2551 วันเพ็ญพุธ  ตรงกับการลอยกระทงพอดี   ทางวัดพระนอนขอนม่วง  อ.แม่ริม  จ.เชียงใหม่จะจัดพิธีใส่บาตรพระอุปคุตที่หอพระอุปคุตริมฝั่งแม่น้ำปิงครับ

หากสนใจเชิญร่วมงาน

ด้วยความปรารถนาดีจากลุงหนาน...พรหมมา

คำบูชาพระอุปคุต (เกิดโชคลาภและคุ้มกันภัยภิบัติอันตรายทั้งปวง)

อุปะคุตโต จะ มะหาเถโร สัมพุทเธนะ วิยากะโต มารัญจะ มาระพะลัญจะ โส อิทานิ มะหาเถโร นะมัสสิตะวา ปะติฎฐิโต อะหัง วันทามิ อิทาเนวะ อุปะคุตตัง จะ มาหาเถรัง ยัง ยัง อุปัททะวัง ชาตัง วิธัง เสติ อะเสสะโต มะหาลาภัง ภะวันตุเม ฯ

คำบูชาขอลาภพระอุปคุต

มหาอุปคุตโต จะมหาลาโภ พุทโธลาภัง สัพเพชะนา พะหูชะนา ราชาปุริโส อิถีโยมานัง นะโมโจรา เมตตาจิตตัง เอหิจิตติจิตตัง ปิยังมะมะ สะเทวะกัง สะพรหมมะกัง มะนุสสานัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม ฯ

เอหิจิตติ จิตตังพันธะนัง อุปะคุตะ จะมหาเถโร พุทธะสาวะกะ อานุภาเวนะ มาระวิชะยะ นิระภะยะ เตชะปุญณะตา จะเทวะตานัมปิ มะนุสสานันปิ เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ อิมังกายะ พันธะนัง อะทิถามิ ปะอัยยิสสุตัง อุปัจสะอิฯ

คาถาพระมหาอุปคุตผูกมาร นะโม ๓ จบ

มหาอุปคุตโต มหาอุปคุตตัง กายะพันทะนัง อมยิสะ พุทธังทะเถโร ธัมมังทะเถโร สังฆังทะเถโร ปะอัยยะสุตัง อุปัจสะอิ อิมังกายะพันทะนัง อะทิถามิ ฯ

(คาถาพระมหาอุปคุตผูกมาร มีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์มาก เสกด้วยสายสิญจน์ทำเป็นมงคลสวมคอ หากปลุกเสกครบ ๑๐๘ ครั้งสามารถป้องกันภูตผีปีศาจทั้งปวง และป้องกันอุปัทวอันตรายต่างๆ ถ้าเสก ๓ - ๗ คาบ ผูกคอหรือคล้องคอคนถูกผีเจ้าเข้าสิง จะเจ็บปวดร้องครวญครางโหยหวยอย่างน่าเวทนา ถ้าจะให้ผีที่สิงอยู่ออกไป ให้ถอดหรือแก้ด้ายผูกคอออก แล้วเอาด้ายนี้ตีปัดตามตัวคนที่ถูกผีสิงอยู่ ผีจะอยู่ไม่ได้จะเผ่นออก และไม่กล้ากลับมารบกวนคนในบ้านอีก และยังมีการปลุกเสกในทางพิชิตโรคาพาธได้วิเศษนัก)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท