เราจะสื่อสารเรื่องเพศกับวัยรุ่นกันอย่างไร? คำถามที่ยังคาอกคาใจของบรรดาครูและผู้ปกครองโดยเฉพาะผู้ที่กำลังรู้สึกว่า “เด็กสมัยนี้ทำไมเอากันไวจัง สมัยพ่อแม่เสียตัวกันครั้งแรกก็อายุ 25 – 25 บางคนก็ปาเข้าไป 30...” ซึ่งบทเรียนหนึ่งของการสื่อสารทางเพศ คือ การทำความเข้าใจ การสื่อสารด้วยท่าทีที่เป็นมิตร และการสื่อสารตรงประเด็นเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันดังกรณีตัวอย่างต่อไปนี้(ควรติดตามตอนที่ 2 ด้วย)
กรณีที่ 1 : บนเก้าอี้เหล็กใต้ร่มไม้ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ในช่วงเวลาเย็นโพล้เพล้ของวันหยุดสุดสัปดาห์ พ่อลูกคู่หนึ่งนั่งสนทนาไปพร้อมกับสอดสายตามองตามผู้มาออกกำลังกายที่วิ่งผ่านไปมา คนแล้ว คนเล่า แล้วลูกชายซึ่งกำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่นผุดคำถามขึ้นถามพ่อในวัยกลางคนที่กำลังจด ๆจ้องๆ อยู่กับหนุ่มสาวที่จูงมือกันเดินผ่านหน้าทั้งสองคนไป “พ่อครับทำไม การมีเพศสัมพันธ์ทำให้มีความรู้สึกยังไงครับ?”
พ่อหันมาทำตาขวางโดยไม่คิดว่าลูกจะถามคำถามแบบนี้เพราะไม่ได้เตรียมคำตอบ “อืม.....ก็มันเหมือนกับการที่ลูกเอานิ้วของลูกไปแคะขี้มูกในจมูกของลูกแหละ”
ลูกชายทำคิ้วย่นๆ ก่อนที่จะถามต่อ “แล้วทำไมเวลามีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงถึงร้องครวญคราง เหมือนมีความรู้สึกดีกว่าผู้ชายครับ?”
พ่อเริ่มตังหลักได้แล้วจึงสวนกลับ “อ้าว.. แล้วเวลาลูกแคะขี้มูก ลูกรู้สึกว่า นิ้วของลูกดีขึ้น หรือว่ารูจมูกของลูกดีขึ้นหล่ะ?”
“จมูกสิครับพ่อ แล้ว...ในเมื่อผู้หญิงรู้สึกดีขึ้น แล้วทำไมผู้หญิงถึงเกลียดการข่มขืนล่ะ?”
คราวนี้พ่อเริ่มเป็นฝ่ายทำคิ้วย่น ๆ พร้อมกับเกาหัวนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียเหลี่ยมอดีตนักรักไปได้ “เออคือว่า...มันไม่เหมือนกันนะ แล้วถ้าลูกเดินอยู่บนถนนแล้วมีคนวิ่งมาเอานิ้วมาทิ่มจมูกของลูก หล่ะ ลูกจะทำยังไง?”
ลูกชายยิ้มก่อนที่จะตอบอย่างมั่นใจว่า “ก็ชกสิครับพ่อปล่อยมันไว้ทำไม...แล้วทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบมีเพศสัมพันธ์กันในระหว่างมีประจำเดือน?”
“งั้นแล้วถ้าจมูกของลูกเลือดไหลอยู่ ลูกจะแคะขี้มูกมั้ย ?” “ก็ต้องรอให้เลือดหยุดไหลก่อนซิครับ.....แล้วทำไมผู้ชายถึงไม่ชอบใส่ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์”
คำถามนี้ทำให้ผู้เป็นพ่ออดคิดถึงอดีตในช่วงที่เขายังเป็นวัยรุ่นก็มีความสงสัยต่อคำถามนี้เช่นเดียวกันก่อนที่จะเอามือลูบหัวลูกชายและตอบเบา ๆ แต่ท่าทางจริงจังว่า “แล้วถ้าพ่อบังคับลูกใส่ถุงมือแคะขี้มูกลูกจะรู้สึกยังไง”
“ก็ติด ๆ ขัด ๆเหมือนมีอะไรกั้น ไม่หายคันจมูกด้วยครับ....มีอีกคำถามครับพ่อ ผู้หญิงทำไมชอบบรรยากาศเงียบ ๆ สลัว ๆขณะที่เธอมีความต้องการทางเพศหล่ะครับ?”
“ลูกลองนึกเอาง่าย ๆ....แล้วพ่อใช้ให้ลูกแคะขี้มูก หน้าชั้นเรียนลูกจะทำได้มั้ย?” “
ไม่เอาครับพ่อ อายเค้ามันต้องทำลับ ๆ ตาคนสิครับ จะได้แคะเต็มที่....ขอบคุณครับพ่อไว้ถ้าผมสงสัยแล้วผมจะถามพ่ออีกได้มั้ยครับ?” “
ได้สิลูกวันนี้เรากลับก่อนดีกว่ามั้ยค่ำแล้ว”
จากสถานการณ์นี้ เรามองเห็นอะไรบ้าง?
การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ( Safe Sex ) หมายถึง กิจกรรมทางเพศอะไรก็ได้ ที่ทำแล้วมีความสุขทางเพศ และไม่มีโอกาสรับเชื้อต่างๆซึ่งติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเชื้อไวรัส เอช ไอ วี และนอกจากนี้ยังสามารถมองด้านความปลอดภัยในมิติต่าง ๆ กันได้อีก เช่น การท้อง ในขณะที่แต่ละฝ่ายไม่มีมีพร้อม ทั้งในเรื่องอายุที่น้อยเกินไป (หากอายุมากเกินไปก็ควรคำนึงถึงความปลอดภัยจากถาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น หัวใจวาย เลือดเลี้ยงสมองไม่ทัน หรือเส้นเลือดในสมองแตก) การยอมรับของบุคคลรอบข้างตามประเพณีหรือค่านิยม สถานะทางสังคม เช่น การท้องในขณะที่กำลังเรียนอาจจะส่งผลต่ออนาคตได้ หรือฐานะทางเศรษฐกิจที่ต้องมีค่าใช้จ่ายจากการดูแลสุขภาพ รักษาโรคติดต่อ จากการคลอดบุตร จากการทำแท้ง หรือแม้แต่การบำบัดอาการทางจิตจากปัญหาครอบครัวที่ตามมา การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่ได้มองเฉพาะมิติทางกาย แต่ควรต้องมองถึงมิติทางจิตและสังคมประกอบด้วย เช่น การมีเพศสัมพันธ์บนพื้นฐานของความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย(ขึ้นไป) ไม่ล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และมีผลกระทบที่ตามมาจากการมีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นน้อยที่สุด
1. วิธีสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
2. วิธีการหาความสุขทางเพศระหว่างสองคน(ขึ้นไป)โดยมีการร่วมเพศ มีวิธีปฏิบัติ 3 วิธี ได้แก่
2.1 เมื่อมีเพศสัมพันธ์ต้องสวมถุงยางอนามัย เพื่อเป็นเครื่องกีดขวางมิให้สเปิร์มของฝ่ายชายไปผสมพันธุ์กับไข่ของฝ่ายหญิงจนเป็นสาเหตุให้ท้องได้และป้องกันเชื้อไวรัส เอชไอวี(HIV) หรือเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่ายหนึ่ง รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นเช่น หนองใน แผลริมอ่อน ฯลฯ
2.2 การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการสอดใส่ ด้วยการเล้าโลมในบริเวณพื้นผิวส่วนที่ไวต่อการสัมผัสแทนการสอดใส่ อวัยวะเพศ เช่น การกอด การจูบหากไม่ดุเดือดเลือดสาดโอกาสได้รับเชื้อต่าง ๆ ก็มีน้อยลง(ไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่ติดโรคอื่นที่มีน้ำลายเป็นพาหะ) หรือแม้แต่การใช้อวัยวะเทียมร่วมกันก็มีโอกาสทำให้ติดเชื้อได้จากน้ำในช่องคลอดหรือเลือดในทวารหนัก
2.3 การทำรักด้วยปากหรือการใช้ปากกับอวัยวะเพศของฝ่ายตรงข้าม ( Oral Sex ) ยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหากมีการสัมผัสโดยตรงจึงควรมีการป้องกันโดยการสวมถุงยางอนามัยในอวัยวะเพศชาย ก่อนทำออรัลเซ็กซ์หรือใช้ปากสัมผัสกับอวัยวะฝ่ายตรงข้าม ไม่ควรแปรงฟันก่อนเนื่องจากในระหว่างแปรงฟันอาจจะทำให้เกิดบาดแผลหรือเหงือกเกิดความบอบช้ำ เสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้นและผู้เป็นฝ่ายกระทำออรัลเซ็กซ์ควรใช้แผ่นรองออรัลเซ็กซ์(ราคาค่อนข้างสูง) ระหว่างการทำออรัลเซ็กซ์ควรหลีกเลี่ยงการหลั่งน้ำอสุจิในปากและไม่ควรกลืนกินน้ำอสุจิลงท้อง(หากเผลอกลืนลงไปก็ไม่ทำให้ท้องนะครับหมดกังวลได้) หลังจากทำออรัลเซ็กซ์ ควรทำความสะอาดช่องปากให้สะอาด
ติดตามต่อไปในตอนที่ 2 ครับ