เขาคุยอะไรกันในการประชุมทางวิชาการ ๑
อยู่คู่กาลกับโลก : การศึกษาวรรณคดี วรรณกรรม และสื่อร่วมสมัย
การประชุมสัมมนา เป็นวิธีการยอดนิยมอย่างหนึ่งในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ ความคิด และประสบการณ์ของผู้คนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน หรือแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกัน แต่จะเกิดมรรคเกิดผลอย่างจริงจังมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการและวิธีการที่จะให้เกิดการมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน และขึ้นอยู่กับคนร่วมประชุมจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากน้อย แค่ไหน
เมื่อวันที่ ๒๐-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๑ ได้มีการประชุมทางวิชาการของครูอาจารย์ในแวดวงทางภาษาและวรรณกรรมที่น่าสนใจเวทีหนึ่ง ที่ จัดโดย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับ สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยฯ และสำนักพิมพ์ปาเจรา ที่ว่าน่าสนใจก็เพราะมีการบรรยายและนำเสนอบทความจากงานวิจัย ปริญญานิพนธ์ ของนักวิชาการรุ่นใหม่ ซึ่งเรียกความสนใจครูอาจารย์ภาษาไทยจำนวนหลายร้อยคนเลยทีเดียว ผมจึงขอสรุปสาระทั้งหมดตามที่ได้ฟัง มาบอกเล่าไว้โดยไม่แสดงความคิดเห็นแทรกตอนนี้ เพื่อให้ผู้อ่านได้มองเห็นสาระ ความรู้ ความคิดของผู้บรรยาย ซึ่งมีแง่มุมที่อาจนำไปใช้พัฒนาต่อยอดให้เป็นประโยชน์แก่ตนต่อไป
ผมขอสรุปสาระการบรรยายไว้เป็นเรื่องๆ และจะนำเสนอบันทึกละ ๑ เรื่อง จนกว่าจะจบการสัมมนา และตอนท้ายจะมีข้อคิดเห็นของผมประกอบให้เห็นแง่มุมต่างๆ ตามสมควรครับ
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อาหารกับอารมณ์สะเทือนใจ
บรรยายโดย รศ. สุจิตรา จงสถิตย์วัฒนา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การบรรยายเรื่องนี้มาจากงานวิจัยที่มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับอารมณ์สะเทือนใจที่ปรากฏในบทพระราชนิพนธ์กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ผลการวิจัยพบว่า กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานมีธรรมชาติที่แท้จริงเป็นบทกวีรัก โดยใช้กรอบของกาพย์เห่เรือและลีลาของนิราศมาประกอบกันอันเป็นแบบแผนที่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ได้ทรงใช้มาแล้วในสมัยอยุธยา
อาหารกับอารมณ์สะเทือนใจในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน มีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจนในหลายมิติ ได้แก่ มิติสำคัญในฐานะบทกวีรัก นั่นคือ อาหารไม่ว่าจะเป็นเครื่องคาว หวาน ผลไม้ ล้วนเป็นตัวแทนของนางอันเป็นที่รักในมิติต่างๆ ทั้งในรูป รส กลิ่น เสียง เพราะอาหารเป็นที่มาของรสแห่ง ความปิติยินดี ความทุกข์อาลัยที่มิได้พบเห็นนาง ความรำลึกถึงโฉมของนาง เครื่องแต่งกายของนาง ตลอดจนความสามารถในด้านศิลปะต่างๆ ของนาง
ตัวอย่าง
๐ ขนมผิงผิงผ่าวร้อน เพียงไฟฟอนฟอกทรวงใน
ร้อนนักรักแรมไกล เมื่อไรเห็นจะเย็นทรวง
๐ มัศมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา
๐ ลำเจียกชื่อขนม นึกโฉมฉมหอมชวนโชย
ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย โหยไห้หาบุหงางาม
๐ ขนมจีบเจ้าจีบห่อ งามสมส่อประพิมพ์ประพาย
นึกน้องนุ่งจีบกราย ชายพกจีบกลีบแนบเนียน
๐ รสรักยักลำนำ ประดิษฐ์ทำขนมเทียน
คำนึงนิ้วนางเจียน เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลม
๐ บัวลอยเล่ห์บัวงาม คิดบัวกามแก้วกับตน
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล สถนนุชดุจประทุม
มิติสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ อาหารในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานมีสถานภาพสำคัญเทียบเคียงได้กับขบวนเรือพยุหยาตราอันถือว่าเป็นศิลปกรรมชั้นสูงและเป็นสัญลักษณ์แทนความยิ่งใหญ่แห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ คือการสถาปนาอาหารให้เป็นตัวแทนของนางทำให้กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานเป็นหลักฐานสำคัญในการรังสรรค์บทกวีรักในรูปแบบอลังการที่สะท้อนทัศนคติเกี่ยวกับความสำคัญของอาหารและความยิ่งใหญ่ของความรักหรือกล่าวได้ชัดเจนว่า เป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับอารมณ์สะเทือนใจในวรรณคดีไทย
บทสรุปความคิดเห็นของเรื่องนี้ ผมคิดว่ามุมมองของกวีที่ต้องการแสดงฝีมือการประพันธ์ในแง่งามทางภาษาย่อมสามารถสะท้อนอารมณ์สะเทือนใจของตนได้อย่างดี ไม่ว่าจะแต่บทกวีที่ใช้คำประพันธ์ชนิดใดเป็นสื่อก็ตาม เพราะภาษาคือเครื่องถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ จินตนาการของมนุษย์ ได้ทั้งสิ้น เพียงแต่จะถ่ายทอดผ่านภาษาแบบใดที่จะจับจิตจับใจคนอ่านได้มากน้อยทัดเทียมกับกวีหรือไม่ แต่เชื่อว่า การแต่งบทกวีนั้นเป็นการสื่อสารอารมณ์ให้เกิดขึ้นร่วมกันระหว่างกวีกับผู้อ่าน จะเป็นคนรักหรือคนทั่วไปก็ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้แสดงออกอย่างดงามที่สุดสมเป็นมหากษัตริย์กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์อย่างแท้จริง ผมขอชื่นชมผู้วิจัยที่ได้มองเห็นคุณค่าเรื่องนี้และสามารถค้นหาเทคนิค กลวิธีการประพันธ์มาแจกแจงให้ผู้อื่นได้มองเห็นเช่นเดียวกันด้วย
ไม่มีความเห็น