ห้องสมุดประชาชนอำเภอพานทอง
ห้องสมุดประชาชนอำเภอพานทอง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี

จุลสารประจำเดือนมีนาคม ปักษ์แรก


ฉบับที่ 33

จุลสารประชาสัมพันธ์

ห้องสมุดประชาชนอำเภอพานทอง

ฉบับที่   33   ปักษ์แรก   มีนาคม  2551

 

 

 

                                       ผู้จัดทำ งานประชาสัมพันธ์ห้องสมุดประชาชนอำเภอพานทอง 

 โทรศัพท์ / โทรสาร  0-3845-1907

 

ดื่มน้ำ 8 แก้ว/ วัน คุณทำได้ง่ายนิดเดียว

                เชื่อหรือไม่ว่า น้ำ ถือเป็นอาหารอันวิเศษ ที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ให้ดูดีอย่างถาวร การดื่มน้ำช่วยทำให้กล้ามเนื้อความชุ่มชื้น ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส เพราะน้ำช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย และทำให้สุขภาพแข็งแรง ดังนั้นในแต่ละวันควรดื่มน้ำให้ได้ 6- 8 แก้ว ซึ่งทำได้ไม่ยากค่ะ ตื่นนอนขึ้นมาให้ดื่มน้ำทันที 1 แก้วเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น หลังอาหารเช้า 1 แก้ว ระหว่างช่วงเช้าถึงเที่ยง 1 แก้ว หลังอาหารเที่ยง 1 แก้ว ระหว่างช่วงบ่ายถึงเย็น 1 แก้ว ก่อนอาหารเย็น 1 แก้ว หลังอาหารเย็น 1 แก้ว และก่อนนอนอีก 1 แก้ว ครบพอดิบพอดี 8 แก้ว หรือถ้าหากปฏิบัติภารกิจเพลินจนลืมดื่มน้ำ นึกขึ้นได้เวลาใด ก็ให้รีบหาน้ำมาดื่มทันทีค่ะ

                หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ทำไม ? ต้องดื่มก่อนอาหารมื้อเย็น นี่แหละค่ะเคล็ดไม่ลับสำหรับคนกลัวอ้วน เพราะการดื่มน้ำก่อนอาหารมื้อเย็น จะทำให้เรารับประทานน้อยลง เพราะอาหารมื้อเย็นไม่มีความจำเป็นต่อร่างกายมากนัก ฉะนั้นควรเน้นอาหารเบาๆ จะดีกว่าค่ะ อ้อ !! มีข่าวดีสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินพิกัด พบว่าการดื่มน้ำมากๆ นั้นมีส่วนช่วยในการเผาผลาญแคลอรี่ไขมันที่สะสมในร่างกายได้เช่นกัน แต่ต้องดื่มน้ำมากกว่าคนทั่วไป เพราะคนที่มีรูปร่างอ้วนนั้นจะเหนื่อยง่าย ยิ่งถ้าออกกำลังกายเมื่อไหร่ ควรดื่มมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความสมดุลของร่างกายค่ะ

ที่มา  :  http://health.deedeejang.com/news/306.html

อาหารอันตรายขณะท้องว่าง

      อาหารทุกชนิดก็มีประโยชน์ แตกต่างกันออกไป แต่ก็มีอาหารอีกบางชนิด ที่เป็นอาหารที่เมื่อทานในขณะที่ท้องไม่ว่างนั้น จะเกิดประโยชน์ แต่ถ้าเกิดทานขณะท้องว่างรับรองว่า เกิดโทษมากกว่าประโยชน์แน่นอน เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า อาหารชนิดใดบ้างที่ห้ามรับประทานขณะท้องว่าง

นมและนมถั่วเหลือง  :  แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิด ประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่

เหล้า  :  หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาลหรืออาหารหวาน   :  ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่ง ผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป   :  ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ    :  ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่ง กรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย   :  เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็น การยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม  :  เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรค กระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง ผัก การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

     นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำหลังออกกำลังกาย ด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและ การออกกำลังกายภายในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย

        ดังนั้น เราก็ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ และเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกายของเราดีกว่านะคะ...

ที่มา  :  http://health.deedeejang.com/news/155.html

ทำไมเราถึงหาวรู้ไห?

       อาการหาว น้ำตาไหล น้ำมูกไหล เกิดจากปฏิกิริยาการตอบสนองของร่างกาย อาจมาจากการที่สมองขาดออกซิเจนไปชั่วขณะ หรืออาจได้รับก๊าซคาร์บอนมอนน๊อกไซต์มากเกินไป

     แต่หากไม่อยากหาวบ่อย ๆ ก็ลองพยายามหาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่เคร่งเครียด หลีกเลี่ยงจากมลพิษ และอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก รับรองอาการหาวของคุณจะค่อย ๆ ลดลง

    แต่หากลองแล้วยังไม่ได้ผล ยังหาวอยู่เรื่อย ๆ วันละไม่ต่ำกว่า 30 ครั้งล่ะก็ แนะนำให้ไปพบแพทย์ตรวจร่างกายดีกว่า เพราะการหาวบ่อย ๆ แบบนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับลักษณะการนอนและระบบทางเดินหายใจเข้าแล้ว

ที่มา  :  http://health.deedeejang.com/news/158.html

สมุนไพรแก้ไข้

อาการไข้
     ร่างกายของคนเราจำเป็นต้องมีการปรับอุณหภูมิให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม ไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของอากาศภายนอก เพื่อให้การทำงานของร่างกายเป็นไปได้อย่างปกติ ศูนย์ที่ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมินี้อยู่ในสมองส่วนกลาง ซึ่งศูนย์นี้จะมีหน้าท่ควบคุมอุณหภูมิรับสัญญาณจากบริเวณต่างๆของร่างกาย และคอยควบคุมให้ร่างกายเก็บความร้อน สร้างความร้อนเพิ่มหรือลดความร้อนโดยถ่ายเทความออกไปมากขึ้น อุณหภูมิปกติของคนไม่ได้คงที่ตลอดเวลา มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในแต่ละช่วงของวัน โดยเฉพาะในช่วงค่ำ 18.00-20.00 น. อุณหภูมิมักสูงสุดและจะค่อยๆลดลงจนต่ำสุดในเวลาใกล้สว่าง 2.00-4.00 น. และจะเพิ่มสูงขึ้นอีกเช่นนี้ทุกวัน การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเช่นนี้สังเกตเห็นได้ชัดในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่
    
ไข้ เป็นอาการที่แสดงถึงความผิดปกติของร่างกาย หมายถึง สภาวะที่อุณหภูมิของร่างกายสูงกว่า
37 องศาเซลเซียส ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบาย ผิวหนังร้อน โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก ลำตัว ซอกรักแร้และขาหนีบ เป็นต้น
     ไข้จำแนกตามระดับอุณหภูมิได้เป็น 3 ระดับ คือ
     ไข้ต่ำ อุณหภูมิร่างกายอยู่ระหว่าง 37.0 c - 38.9 c
     ไข้ปานกลาง อุณหภูมิร่างกายอยู่ระหว่าง 38.9 c - 39.5 c
     ไข้สูง อุณหภูมิร่างกายอยู่ระหว่าง 39.5 c - 40.0 c
     
สาเหตุของไข้มีมากมาย ดังนี้คือ

1. การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และโปรโตซัว เช่น ไข้หวัด ไข้มาลาเรีย ไข้จากแผล ฝีหนอง
2. การกระตุ้นจากเหตุผิดปกติบางอย่างในร่างกายที่ไม่ใช่การติดเชื้อ เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
3. ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิมิได้รับการกระทบกระเทือนจากความผิดปกติในสมองโดยตรง เช่น เนื้องอกในสมอง เส้นเลือดในสมองแตก
4. ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิมิได้รับการกระทบกระเทือนจากเหตุภายนอก เช่น การผ่าตัด การตื่นเต้นสุดขีด เป็นต้น
5. การแพ้ยาหรือเซรุ่ม เช่น ไข้ภายหลังการให้เลือด
6. เหตุอื่นๆ เช่น การออกกำลังกายกลางแดด เป็นต้น
     การวัดไข้โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า เทอร์โมมิเตอร์ จะช่วยจำแนกความหนักเบาของไข้ได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่มีอุปกรณ์ให้ใช้หลังมือสัมผัสหน้าผาก ลำตัว หรือบริเวณอื่นก็พอรู้สึกได้คร่าวๆ
     อาการไข้ที่ควรส่งโรงพยาบาล
     อาการไข้ ที่เกิดร่วมกับอาการต่อไปนี้จัดเป็นอาการที่เป็นอันตราย ควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว คือ
1. ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว
2. คอแข็ง ก้มไม่ลง หรือทารกที่มีอาการกระหม่อมโป่งตึง
3. ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ค่อยขึ้น
4. กลัวน้ำ
5. ชัก
6. หอบหรือเจ็บหน้าอกรุนแรง
7. ผิวหนังซีดหรือเป็นสีเหลือง หรือมีจุดแดง หรือจ้ำเขียวตามตัว ปวดตามข้อหรือบวม
8. ปวดสีข้าง ปัสสาวะขุ่น
     สมุนไพรลดไข้ส่วนใหญ่ จะมีฤทธิ์ลดไข้อย่างเดียว ไม่มีฤทธิ์แก้ปวดควบคู่เหมือนยาแผนปัจจุบัน และพบว่าสมุนไพรจำพวกนี้มักจะมีรสขมรับประทานยาก ทั้งวิธีใช้ส่วนใหญ่เป็นวิธีต้ม ไม่มีการกลบกลิ่น รส แต่อย่างไรก็ดี รสขมนี้สามารถทำให้การหลั่งน้ำลายเพิ่มขึ้น กระตุ้นให้อยากอาหาร มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยซึ่งต้องการสารอาหารเพิ่มเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงเช่นเดิม
    
 สมุนไพรแก้ไข้ ควรนำมาใช้กับอาการไข้ปานกลางหรือต่ำ และมีข้อควรระวัง ดังนี้ คือ

1. เป็นอาการไข้ที่ไม่นานเกิน 7 วัน
2. ไม่มีอาการร่วมกับไข้ที่รุนแรง เช่น หนาวสั่นมาก ปวดศีรษะรุนแรง เจ็บหน้าอก หรือปวดท้อง
3. ไข้ที่เกิดจากการอักเสบที่ผิวหนัง เช่น แผลผุพอง ฝี นอกจากใช้ยาแก้ไข้ ให้ใช้ยาฆ่าเชื้อ พร้อมกับการทำความสะอาดแผลหรือผ่าฝี เพื่อรักษาสาเหตุ
4. ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ขวบ เพราะเด็กมีความทนต่อยาต่ำกว่าผู้ใหญ่
5. ถ้าใช้สมุนไพรแก้ไข้นาน 3-4 วัน อาการคงเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวลง ควรเปลี่ยนวิธีการรักษา   

 ที่มา : http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=Health&func=kai

 

แนะนำหนังสือใหม่       

 

พระพี่นางในพระราชหฤทัย  สามดวงใจแห่งความผูกพัน  {

โดย   สุวิสุทธิ์

                หนังสือ พระพี่นางในพระราชหฤทัย    ดวงใจแห่งความผูกพัน  ได้ถือกำเนิดขึ้นจากความประทับใจในความรักความผูกพันอันลึกซึ้งของสมเด็จพระพี่นางเธอ  เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล  และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  ซึ่งทั้ง  ๓ พระองค์ล้วนเป็นที่รักเทิดทูนของพสกนิกรชาวไทยอย่างสูงสุด

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 172057เขียนเมื่อ 21 มีนาคม 2008 11:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 เมษายน 2012 19:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท