ทำความรู้จักครอบครัวของศุภกรณ์
ศุภกรณ์ เกิดจากคุณพ่อชื่อ นายสมพงษ์ ไม่ขอเปิดเผยนามสกุล และ คุณแม่ชื่อ นางสาวเพ็ญจันทร์ (อายุ ๒๔ ปี )ไม่ขอเปิดเผยนามสกุล ทั้งคู่เป็นคนมีสัญชาติไทยตั้งแต่เกิด พ่อมีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ส่วนแม่มีภูมิลำเนาที่จังหวัดสุรินทร์
ศุภกรณ์ มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๓ คน คือ
(๑) พี่ชายคนโตชื่อ เด็กชายอนุสรณ์ อายุมากกว่าศุภกรณ์ ๒ ปี
(๒) พี่ชายคนรอง ชื่อ เด็กชายอนุศักดิ์ อายุมากว่าศุภกรณ์ ๑ ปี และ
(๓) น้องสาวคนสุดท้อง ชื่อ เด็กหญิงฤทัยพรรณ อายุอ่อนกว่าศุภกรณ์ ๑ ปี
ศุภกรณ์อาศัยอยู่กับตาและยาย พร้อมด้วยพี่ชายทั้งสองคน ที่จังหวัดสุรินทร์
ตาชื่อนายมงคล ยายชื่อนางสุดท้าย ทั้งตาและยายก็มีสัญชาติไทย
คนในครอบครัวของศุภกรณ์ทุกคนมีสัญชาติไทย พี่น้องทุกคนที่คลานตามกันมาทุกปีก็ไม่มีใครไร้รัฐ...เพราะต่างมีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎรไทย และปรากฏเป็นบุคคลสัญชาติไทย[1]
...แล้วทำไมศุภกรณ์จึงตกเป็น “คนไร้รัฐ” อยู่คนเดียว
ทำความเข้าใจครอบครัวของศุภกรณ์
แม่ของศุภกรณ์หนีออกจากบ้านเมื่อตอนยังเรียนอยู่ชั้นปวช. ยังเรียนหนังสือไม่จบดีก็เดินทางจากจังหวัดสุรินทร์ มาทำงานรับจ้างอยู่ที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี แม่ก็ดำเนินชีวิตเช่นคนในชนบทในภาคอีสานทั่วๆ ไปที่ย้ายชีวิตเข้ามารับทำงานรับจ้างอยู่ในเมือง
แม่มาเจอพ่อของศุภกรณ์ซึ่งทำงานประมงที่อำเภอเมืองพัทยา ทั้งคู่อยู่กินด้วยกันตั้งแต่แม่อายุยังน้อย 2-3 ปีแรกแม่ก็คลอดพี่ชายทั้ง 2 คนของศุภกรณ์ออกมา โดยที่เมื่อแม่คลอดพี่ชายทั้งสองก็จะนำไปฝากให้ตาและยายเลี้ยงที่จังหวัดสุรินทร์ เมื่อมาถึงศุภกรณ์และน้องสาวก็เช่นกัน แม่ก็ได้นำไปฝากให้ยาย ตาและยายก็เลี้ยงดูหลานทั้งหมดด้วยน้ำพักน้ำแรงของชาวไร่ชาวนาในชนบทบวกกับเงินที่แม่ศุภกรณ์ส่งมาให้บ้าง
เมื่อเวลาถึงวันหยุดยาวๆ พ่อและแม่ศุภกรณ์ก็กลับมาบ้านที่สุรินทร์บ้างนานๆ ที และเมื่อเวลาหลานๆ ถึงวัยเข้าเรียน ยายก็พาไปเข้าที่โรงเรียนในหมู่บ้าน และดูแลหลานๆ ตามอัตภาพตามกำลังที่มี
...ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ ครอบครัวของศุภกรณ์ก็ดำเนินไปเหมือนครอบครัวของคนในชนบทของภาคอีสาน และภาคอื่นๆ ของประเทศไทย
ทำไมพี่น้องคนอื่นของศุภกรณ์ไม่ไร้รัฐ
การเป็นคนไร้รัฐ คือ การตกเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับการรับรองใดๆ ทางกฎหมายจากรัฐใดๆ เลยในโลก ซึ่งการรับรองทางกฎหมายอย่างหนึ่งก็คือ การบันทึกชื่อและข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลลงในฐานข้อมูลทางทะเบียนราษฎร
คนไร้รัฐ จึงอาจมีสภาพที่เรียกได้ว่าเป็นคนไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎรของรัฐใดเลยในโลก เป็นสภาพที่ทำให้ไม่เคยมีรัฐใดรับรู้หรือยอมรับว่ามีคนๆ นั้นอยู่จริง ทำให้ไม่มีรัฐใดรับรองความสถานะทางกฎหมายว่าเป็น “คน” ที่เกิดขึ้นและมีตัวตนอยู่ในโลก
พี่น้องของศุภกรณ์ ไม่ตกเป็นคนไร้รัฐ เพราะว่า เมื่อแม่คลอดพี่น้องทั้งสามแล้ว ก็ได้เดินไปแจ้งเกิดให้กับพวกเขาที่ที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานเขตในพื้นที่ที่แม่ได้คลอดพี่น้องของศุภกรณ์ออกมา
เมื่อแม่แจ้งเกิดแล้ว ก็ได้หลักฐานเป็น “สูติบัตร” สำหรับคนสัญชาติไทย เพราะเด็กได้สัญชาติไทย ซึ่งในสูติบัตร (ทร.๑) [2] ของพี่น้องศุภกรณ์ นั้น ก็จะมีเลข ๑๓ หลัก ของรัฐไทยที่ได้กำหนดให้กับเด็กทั้งสามตามระบบการทะเบียนราษฎรของรัฐไทย และแม่ก็ได้นำชื่อของเด็กทั้งสามเพิ่มเข้าไปในทะเบียนบ้านของตาซึ่งยายและตนเองก็มีชื่ออยูในทะเบียนบ้านนั้นด้วย พี่น้องทั้งสามของศุภกรณ์จึงมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของรัฐไทย ...ไม่ตกเป็นคนไร้รัฐ
...เมื่ออายุครบ ๑๕ ปี พี่น้องทั้งสามคนก็จะสามารถไปถ่าย “บัตรประจำตัวประชาชน” ของ “คนสัญชาติไทย” ได้ อันถือเป็นเพียง “หลักฐานใช้แสดงตน” ว่าตนเป็นคนมีรัฐไทยคุ้มครอง และ “มีสัญชาติไทย”
แล้วศุภกรณ์ไร้รัฐได้อย่างไร ...
เกิดอะไรขึ้นเมื่อแม่คลอดศุภกรณ์...แม่ละทิ้งศุภกรณ์หรืออย่างไร
แม่ของศุภกรณ์เอาใจใส่พี่น้องทั้งสามคนของศุภกรณ์อย่างดี เพราะเด็กทั้งสามต่างก็ได้ สูติบัตร ทร.๑ ที่หมายความว่าได้มีการแจ้งเกิดเด็กภายในกำหนดระยะเวลา ๑๕ วัน แล้วศุภกรณ์หล่ะ เกิดอะไรทำไมเค้าถึงไม่ได้รับการแจ้งเกิดจนถึงทุกวันนี้
ต้องมาลำดับเหตุการณ์กันดูว่า เมื่อในวันที่ศุภกรณ์เกิด...แม่เจ็บท้องกะทันหัน ขณะที่ทำงานอยู่ที่เมืองพัทยา แม่จึงเข้าไปคลอดศุภกรณ์ ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองพัทยาทันที ซึ่งถ้าเลือกได้ แม่ของศุภกรณ์ก็อยากจะขอเลือกคลอดลูกในโรงพยาบาลของรัฐมากกว่า เพราะเมื่อเห็นว่าเป็น “โรงพยาบาลเอกชน” ก็หมายความว่าค่าทำคลอดคงจะแพงกว่าที่โรงพยาบาลของรัฐอย่างแน่นอน กับคนทำงานที่หาเช้ากินค่ำอย่างแม่ ก็จะมีความเดือดร้อนใจและเดือดร้อนเงินอยู่ไม่น้อย
และในที่สุดเมื่อแม่ต้องคลอดศุภกรณ์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้นแล้ว แม่ก็ไม่มีเงินพอจะชำระค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ แม่จึงออกจากโรงพยาบาลมาพร้อมศุภกรณ์ โดยที่ยังไม่ได้รับเอกสารรับรองการเกิดจากโรงพยาบาลว่าแม่ได้คลอดศุภกรณ์แล้ว ณ โรงพยาบาลแห่งนั้น เนื่องจากทางโรงพยาบาลยอมปล่อยให้แม่ออกมาจากโรงพยาบาลก่อนโดยที่ยังไม่ได้ชำระค่ารักษาพยาบาล และ ด้วยความที่โรงพยาบาลกลัวว่าแม่จะไม่มาชำระเงินที่ติดโรงพยาบาลอยู่ จึงได้เก็บ “หนังสือรับรองการเกิด” ที่โรงพยาบาลมีหน้าที่ออกให้กับเด็กที่เกิดกับโรงพยาบาลไว้เป็นประกัน หนังสือรับรองการเกิดของศุภกรณ์ที่แม่ควรจะได้รับจากโรงพยาบาลจึงกลายเป็นใบประกันหนี้ค่ารักษาพยาบาลที่แม่ติดค้างไว้
เมื่อแม่ไม่มี “หนังสือรับรองการเกิด” จากโรงพยาบาล แม่จึงไม่สามารถเดินไปแจ้งเกิดที่อำเภอเมืองพัทยาให้ศุภกรณ์ได้ และเมื่อชีวิตดำเนินหน้าต่อไป ในเวลาที่สะดวกที่สุดของแม่ แม่จึงพาศุภกรณ์มาฝากให้ตาและยายเลี้ยงที่จังหวัดสุรินทร์ เหมือนกับพี่ชายทั้ง 2 คน โดยที่คราวนี้ไม่ได้นำสูติบัตรติดกับมาด้วย
เวลาผ่านไป... ตราบจนแม่ยังไม่มีเงินไปไถ่ถอน “หนังสือรับรองการเกิด” ของศุภกรณ์จากโรงพยาบาล ศุภกรณ์ ก็ยังไร้รัฐอยู่เช่นนั้นเอง แม้จนเมื่อน้องสาวของศุภกรณ์เกิดในปีต่อมา น้องสาวก็ได้รับการเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านของตาเรียบร้อยแล้วเช่นกัน…
ความยากไร้ของชีวิต..และ ..ความโหดร้ายของธุรกิจสาธารณสุข เป็นเหตุคับข้องที่ทำให้แม่ไม่สามารถแจ้งเกิดให้ศุภกรณ์ได้ ...รู้อย่างนี้แล้วศุภกรณ์คงไม่เสียใจและเข้าใจได้ว่าแท้จริงแล้ว แม่ก็ไม่ได้รักเค้าน้อยกว่าพี่น้องคนอื่นเลย
..ทุกวันนี้ศุภกรณ์ยังคงอยู่กับตาและยาย พร้อมด้วยพี่ชายทั้งสองคน ส่วนน้องสาวคนเล็กนั้นตาและยายเริ่มเลี้ยงไม่ไหว จึงยกให้คนอื่นเลี้ยงเนื่องจากหลังแม่คลอดน้องคนเล็ก พ่อกับแม่ก็แยกทางกัน เพราะพ่อศุภกรณ์ติดเหล้ามาก ไม่ทำงานเลย และบางทีมาขอเงินตาและยายที่จังหวัดสุรินทร์อยู่เป็นประจำ
แม่จึงต้องหาเลี้ยงลูกทั้งสามคนอยู่คนเดียว และสองปีที่ผ่านมา แม่ก็เงียบหายไปเลย โดยที่ยายยังไม่ทราบข่าวคราว... นอกจากยายจะร้อนใจในชีวิตที่ไม่รู้ชะตากรรมของลูกสาวแล้ว ยายก็ยังร้อนใจอีกว่าหลานยังไม่มีใบเกิดและไม่มีชื่อในทะเบียนบ้านเหมือนพี่น้อง ใกล้เวลาที่ศุภกรณ์จะต้องเข้าโรงเรียน ยายก็ยังไม่มีแรงและกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะดำเนินเรื่องทุกอย่างได้ด้วยตนเอง ตลอดจนก็ไม่รู้หนทางหรือแม้กระทั่งวันเดือนปีเกิดของหลานเลย จนเมื่อมีเจ้าหน้าที่ของบ้านพักเด็กและครอบครัว จังหวัดสุรินทร์ ไปเยี่ยมในหมู่บ้าน ยายจึงขอให้ช่วยติดตามใบเกิดของศุภกรณ์ และ แม่ของเค้าที่หายเงียบไป....
มาติดตามการแก้ไขปัญหาของศุภกรณ์ และเรื่องของ “ใบประกันหนี้” ที่ทำให้ เด็กน้อยคนหนึ่ง “ไร้รัฐ” กันต่อไปนะคะ... และมาดูว่ากระทรวงสาธารณสุขคิดอย่างไรกับการทำธุรกิจทางสาธารณสุขที่กำลังทำให้เกิดเด็กไร้รัฐในประเทศไทย...
[1] คือ ได้สัญชาติไทยตั้งแต่เกิด เพราะขณะที่เกิดมารดามีสัญชาติไทย (ตามหลักสายโลหิต) และเกิดในประเทศไทย (ตามหลักดินแดน) เนื่องจากบิดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสด้วย
[2] สูติบัตร สำหรับคนสัญชาติไทย คือ สูติบัตร ทร.๑(กรณีแจ้งเกิดภายในกำหนด ๑๕ วัน) และ สูติบัตร ทร.๒ (กรณีแจ้งเกิดเกินกำหนด) และ ยังมีสูติบัตรสำหรับที่เกิดในประเทศไทย แต่ไม่มีสัญชาติไทย คือ สูติบัตร ทร.๓
ไม่มีความเห็น