วันที่ 22 ก.พ.49 ธกส. โดยคุณเบญจะ, ผอ. อภิรดี, ผอ. บรรจง (ฝ่ายพัฒนาลูกค้า) และสุภาพสตรีอีกท่านหนึ่ง มาคุยกับ ดร. ประพนธ์, อ้อ, จ๋า, ผม และตอนหลังตามอ้อมมาให้ความเห็นด้วย
คำแนะนำที่เราให้ ธกส.
1. ธกส. ต้องสร้าง
"คุณอำนวย" ขึ้นทำหน้าที่ขับเคลื่อน KM
ของชาวบ้านโดยอาจจ้างคนมาฝึกอบรมเป็น "คุณอำนวย" จังหวัดละ 1 คน
โดยต้องคัดเลือกคนที่มีเจตคติ บุคลิก และทักษะเหมาะสม
(ให้ปรึกษาอ้อและคุณไพฑูรย์)
ตรงนี้ผมมาคิดถึงทีหลังว่าต้องคิดให้ดี
เพราะคนใหม่เข้ามาไม่รู้จัก ธกส.
ต้องเรียนรู้ทั้งเรื่องของ ธกส. และเรื่อง KM
รวมทั้งหย่อนอาวุโส อาจทำหน้าที่ "คุณอำนวย"
โดยประสานกับพนักงานของ ธกส. ที่มีอยู่แล้วยาก
อาจต้องรับคนใหม่มาทำงานดูแลลูกค้า
แล้วปล่อยคนเก่าที่รักงาน "คุณอำนวย"
มาทำหน้าที่อาจดีกว่า
เรื่องนี้ต้องคิดยุทธศาสตร์ให้ชัด
และต้องมีการจัดการเชิงระบบของทีมแกนนำ KM
2. อย่าทำ KM
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงของ ธกส. โดด ๆ
ให้เข้าร่วมมือกับ "คุณอำนวย" อื่น ๆ ในพื้นที่
ได้แก่หน่วยงานด้านเกษตร, พัฒนาชุมชน, อบต.,
ผู้ว่าราชการจังหวัด ฯลฯ ทำงานเป็นเครือข่ายของ
"คุณอำนวย"
เป้าหมายคือความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชน
ไม่ถูกพิษของลัทธิทุนนิยมและความโลภอยากรวยเข้าครอบงำ
3. หากยังไม่รู้จักว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอย่างไร
ให้ไปถามชาวบ้านที่เขาปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียงอยู่
ให้เรียนรู้จากผู้ปฏิบัติ
อย่าหลงเรียนรู้เชิงทฤษฎี สคส.
ยินดีประสานงานจัดไปดูงาน
ให้ชาวบ้านเป็นผู้อธิบาย
และไปดูการปฏิบัติจริงในหมู่บ้าน โดยทาง ธกส.
คงต้องจ่ายค่าเดินทางและค่าป่วยการของชาวบ้าน
4. การฝึกอบรม "คุณอำนวย" และการเป็นพี่เลี้ยง "คุณอำนวย"
เป็นบริการของคุณไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ
มน.
5. ธกส. ควรมองเรื่องนี้เป็นแผนระยะยาวหรือตลอดไปของ ธกส. เพราะ
KM
เพื่อเศรษฐกิจพอเพียงจะทำให้ชาวบ้านกลายเป็นลูกค้าที่ดีของ
ธกส. ธกส.
จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการทำงานเชิงลบคือด้านทวงหนี้ ฯลฯ
เอาเงินที่ประหยัดได้นั้นมาทำกิจกรรมเชิงบวก
เชิงส่งเสริมการเรียนรู้ของชาวบ้าน จะเกิดผลในลักษณะ win-win
ระหว่างชาวบ้านกับ ธกส.
6. ต้องไม่เริ่มจากศูนย์ ธกส.
มีเรื่องราวความสำเร็จในการสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียงอยู่แล้ว
และมีพนักงานที่ทำเรื่องนี้อยู่แล้ว ต้องไปค้นหา
นำมาเล่าเรื่อง (storytelling) และต่อยอด
วิจารณ์ พานิช
22 ก.พ.49
เพียงเพราะเรา ล้วนคิดกันเอาเองว่ารู้จักตัวตนของเราดีแล้ว และใช้ประสบการณ์ของตัวเราเองเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินผู้อื่น เราจึงมักจะคับข้องใจเสมอว่าทำไมคุณจึงไม่.......... โดยเฉพาะกับคนที่เราสนิทสนมด้วย เรามักจะตั้งคำถามเสมอให้คนโน้น..คนนี้..คนนั้น..เป็นดั่งใจเรา... แต่น้อยครั้งที่เราจะตั้งคำถามให้ตัวเองว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นที่พอใจของผู้อื่น...และเมื่อเจอคำวิพากษ์ตรง ๆ ที่เข้าหูแล้วไม่ถูกใจเราจะบอกกับตัวเองเสมอว่า....คนตั้งมากมายจะทำให้ถูกใจใครได้อย่างไรก็ในเมื่อฉันเป็นของฉันแบบนี้.....
เรื่องของผม ในชีวิตจำได้ว่าเคยทำตัวให้ดีให้ถูกใจคนอื่น (ที่ไม่ใช่บิดา-มารดานะครับ) นานที่สุดครั้งเดียวครับ..ก็อีตอนจีบผู้หญิงไงครับ..กว่าจะได้แต่งงานกับภรรยาคนนี้ผมต้องใช้สารพัดมารยาชายเพื่อมัดใจหล่อน 1 ปี 6 เดือนครับ .... หลังจากนั้น ... ผมก็เป็นผมคุณก็เป็นคุณครับ... ผมเอาแต่ใจตัวเองเสมอโดยไม่เคยรับฟังความทุกข์ของเธอเลย... ผมมีเวลาให้เพื่อนเพื่อสังสรรเฮฮาเสมอ... ในขณะที่เธอต้องดูแลสารพัดอย่างในบ้าน... ผมมีเงินเลื้ยงเหล้ายาปลาปิ้งเพื่อนเสมอรวมทั้ง..??... ในขณะที่ผมไม่เคยแม้แต่จะถามเธอสักคำว่าค่านมวันนี้ของลูกเธอเอาเงินมาจากใหน.... ผมพาหัวหน้า(คนก่อน ๆ ที่เป็นผู้ชาย)ไปเลี้ยงเหล้าและหาผู้หญิงให้กับท่านตามที่ท่านต้องการเสมอ.. แต่ผมไม่เคยถามเธอเลยว่าวันนี้อยากทานข้าวเย็นด้วยกันมั๊ย... ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันผมทำร้ายจิตใจเธอตลอดเวลา .. แต่ผมเรียกร้องเสมอว่าให้เธอเข้าใจชีวิตผม
ชีวิตผมเปลี่ยนไปเมื่อได้พบกับพี่ปราณีต ก็ผู้บริหารคนปัจจุบันของผมที่อบรมด้วยกันนี่แหละครับ.. เธอทำอย่างไร... พี่ปราณีตไม่ได้ทำอะไรเลยครับ.. เธอก็เป็นของเธอเสมอต้นเสมอปลาย.. เป็นตัวของตัวเอง.. ทำงานเข้าขั้นบ้างาน(ในความเห็นของผม) ทีเดียว.. ที่สำคัญเธอศรัทธากับสิ่งที่เธอทำ... ผมขับรถให้เธอไปอบรม ผมขออนุญาตเธอไปกินเหล้ากับเพื่อน..เธอบอกว่าก็เอารถไปซิ..มีเงินเติมน้ำมันใหม..ถ้าเมามากขับรถกลับไม่ใหวก็โทรบอกหัวหน้า..เดี๋ยวจะนั่งแท๊กซี่ไปขับรถมาให้เธอ......แต่เดี๋ยวส่งหัวหน้าไปวัดนิดหนึ่งก่อน... เป็นแบบนี้เสมอทุกครั้งที่ไปใหนมาใหนด้วยกัน.. และตอนออกจากวัดเธอบูชาพระให้ผมเสมอบอกว่าเก็บไว้จะได้ปลอดภัยเวลาไปใหนมาใหน...ผมรับพระและกล่าวขอบคุณโดยที่ในใจบอกกับตัวเองว่าถ้าผมเมาหลับในพระที่ใหนคงช่วยไม่ได้หรอก.... เธอพาผมและใคร ๆ ในอำเภอโนนดินแดงเข้าอบรมหลักสูตรโรงเรียนผู้นำชุมชน..(แล้วผมจะเล่าให้ฟังว่าเขาทำอะไรกันทีหลัง).. ผมเริ่มทึ่งเธอเมื่อมีหัวหน้าสถานีอนามัยคนหนึ่งเข้าหาเธอแล้วบอกว่า..หัวหน้าสำนักงานสาธารณสุขอำเภอไม่ค่อยมีเงินเอาอย่างนี้สิเดี๋ยว สอ.จะหารเงินกันส่งให้หัวหน้าทุกเดือน ๆ ละ...(มากพอสมควร)...บาท เธอปฏิเสธอย่างนิ่มนวลว่า..สอ.มีภาระค่าใช้จ่ายที่มากมายอยู่แล้ว และยังต้องกันเงินไว้เผื่ออนาคตข้างหน้าเขาโอนเงินไม่ตรงเวลาเราจะได้มีเงินจ่าย OT เจ้าหน้าที่..มีเงินสมัครไปอบรมที่โน่นที่นี่หัวหน้าไม่เอาหรอกพวกเราเก็บเงินไว้ใช้เถอะ..แล้วก็กล่าวขอบคุณผู้เสนอ.. เธอถามผมและผู้ร่วมงานอื่น ๆ เสมอว่ากินอะไรมาหรือยัง..มีตังกินข้าวใหม..วันนี้เพื่อนมามีเงินเลี้ยงเขาหรือเปล่าถ้าไม่มีเอากับหัวหน้าก่อนก็ได้ไว้มีเงินเมื่อไหร่ค่อยคืนหัวหน้า..วันนี้มีเงินเติมน้ำมันรถใหม..ลูก ๆ เป็นอย่างไรบ้าง.. เป็นแบบนี้ทุก ๆ วัน จากวันเป็นสัปดาห์..จากสัปดาห์เป็นเดือน..จากเดือนเป็นปี..จนผมสงสัยว่ามีคนแบบนี้ในโลกนี้ด้วยหรือ
ทุกอย่างซึมซับลงในใจผม..ผมละอายใจตัวเองเสมอว่าเธอเป็นใครทำไมถึงมีแต่คิดถึงคนอื่นตลอดเวลา..เคยคิดถึงตัวเองบ้างใหม.... มันทำให้ผมคิดถึงตัวเองและคนที่เคียงข้างผมตลอดเวลา..ภรรยาสุดที่รักของผม...ผมละเลยเธอ..ทำให้ผมรู้ว่าตลอดเวลาผมทำร้ายเธอตลอดเวลา..แม้ผมจะไม่เคยทำร้ายร่างกายเธอ..แต่ผมทำร้ายจิตใจเธออย่างสาหัสจากการกระทำและคำพูดที่ด่าทอเธอเมื่อผมไม่สบอารมณ์อะไรสักอย่างเวลาผมเมาเหล้า...แต่เธอไม่เคยแม้แต่จะตำหนิผมอาจมีบ้างที่เธอเถียง....จนทำให้เพื่อนบ้านมองเราอย่างเอือมระอาว่ามันทะเลาะกันอีกแล้ว...แต่เธอไม่เคยทิ้งผมไปใหนเธอเคียงข้างผมเสมอเมื่อผมเจ็บป่วย...เธอให้กำลังใจผมเสมอเมื่อผมทะเลาะกันกับเจ้านาย... ผมคิดว่า....ผมปล่อยให้เหล้ามีอิทธิพลบงการชีวิตมากเกินไปเสียแล้ว.... หลัง ๆ ต่อมาผมเข้าใจพี่ปราณีตแล้วว่าทำไมถึงชอบที่จะบูชาพระให้ลูกน้อง..เธอให้เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติเรา..เมื่อเราคิดในทางอบายมุข...เธอให้พระเพราะเมื่อเรามีพระอยู่ในใจเราจะละอายต่อบาป..เธอให้ความปราถนาดีต่อผู้อื่นคิดถึงคนอื่นทำให้เราลดอัตตาในใจลง...ผมคิดถึงคนอื่นมากขึ้น..ผมคิดถึงคนรอบข้าง..ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้..แต่ผมก็ยินดีที่จะคิด....วันที่ผมแต่งชุดสีกากีเข้าพระราชวังเพื่อขอพระราชทานเพลิงศพให้รุ่นพี่ซึ่งเสียชีวิตจากมะเร็ง...วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2549.. ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าพนักงานอนามัยเล็ก ๆ คนหนึ่งจะมีโอกาสได้เข้าเวียงเข้าวังกับเขา..แต่ผมก็ทำเพื่อพี่ชายคนนี้..ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตข้าราชการเราจะมีเกียรติมากมายขนาดนี้..ทุกคนที่พบเจอในวันที่เข้าไปขอพระราชทานเพลิงศพเขาให้เกียรติกับผมมาก(ผมคงคิดไปเองอีกแล้ว) เจ้าหน้าที่..ที่นั่นสุภาพ..และให้เกียรติกับคนที่ไปติดต่อมาก.. ผมละอายใจ.. ผมเป็นรับราชการมา 13 ปี ทำไมผมถึงไม่ศรัทธากับงานที่ผมทำเลยนะ..ผมไม่เคยทำตัวเป็นข้าราชการที่ดีเลย..ทั้ง ๆ ที่คนรอบข้างมีแต่คนปราถนาดีกับผม.. ผมเดินวนวัดพระแก้วอีกรอบกับน้องคนขับรถที่ไปด้วยกัน..ผมปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย.. น้องคนขับรถมองผมแปลก ๆ คงคิดว่าผมบ้าไปแล้วแน่ ๆ.. หลังเสร็จจากการขอพระราชทานเพลิงศพผมให้น้องขับรถวนวัดพระแก้วอีกครั้ง...ผมตั้งปณิธานในใจว่า..ผมต้องเป็นข้าราชการที่ดี...และผมต้องเอาเหล้าออกจากชีวิตผมให้ได้...ตั้งแต่วินาทีนี้.... เพื่อคนที่ผมรัก และคนรอบข้างที่ปรารถนาดีกับผม.............
วันนี้ผมไม่กินเหล้าเป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน 5 วัน ผมได้ทำอะไรหลายอย่างที่ผมตั้งใจจะทำในช่วงเวลาดังกล่าว...ผมตั้งใจที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดไป......ขอบคุณ อ.กิตติพงษ์ เจ้าของ webblog .. ที่ทนนั่งอ่าน .. ผมเชื่อว่าถ้าเรารู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากขึ้น..โลกคงไม่วุ่นวาย..ขอขอบคุณอีกครั้ง..จากใจ