ช่วงชีวิตวัยเด็ก ผ่านวัยรุ่น จบมหาวิทยาลัย
จนเข้าทำงานปีแรก ร่างกายสดใส แข็งแรง
อ้วนท้วนสมบูรณ์
และแล้วอยู่มาวันหนึ่งรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัว ปวดหัวคลื่นไส้อยู่ตลอดเวลา และปวดท้อง ซึ่งก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะโรคปวดท้องเป็นอยู่บ่อยๆ เลยพยายามพักผ่อนมากขึ้นกินอาหารตรงเวลา แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น แถมยังมีอาการไอมากขึ้น ไปหาหมอที่คลินิกหมอให้ไปเอ๊กซเรย์ปอด ผลปรากฎว่าปอดเป็นฝ้าไปหมด หมอสันนิฐานว่าเป็นวัณโรค และให้ยามากิน ผ่านไปหนึ่งวันเริ่มไอมากขึ้นและมีเลือดออกมาด้วย เลยไปหาหมอที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หลังจากวินิจฉัยอาการแล้วหมอสั่งนอนโรงพยาบาล พอวันรุ่งขึ้นอาการเริ่มหนักขึ้นเริ่มไม่คอยรู้สึกตัว ต้องให้อ๊อกซิเจน และหมอใส่สายอะไรไม่รู้เข้าทางปากทางจมูก หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้มารู้สึกตัวอีกที่อยู่ที่ห้อง ICU แล้ว
วันนั้นเป็นวันที่พี่สาวแต่งงาน ญาติที่มางานแต่งงานก็มาเยี่ยม จนพยาบาลบอกว่าคนไข้เตียงนี้ญาติเยอะมาก แต่เราไม่ค่อยรู้สึกตัวเท่าไหร่ อยู่ใน ICU อยู่ 15 วันรักษาปอดที่เป็นฝ้าไปหมด เพราะน้ำท่วมปอดจนดีขั้น ควบคู่ไปกับการฟอกเลือดเพราะไตไม่ทำงานแล้ว หลังจากอาการดีขึ้นรู้สึกตัวเต็มที่แล้ว ก็ออกมาอยู่หอผู้ป่วยรวม
หมอก็มาบอกอาการว่า เป็นโรค "ไตวายเฉียบพลัน" ด้วยสาเหตุ SLE คือ แพ้ภูมิตัวเอง ด้วยไอ้เจ้าภูมิคุ้มกันนี่แปรข้อความจากสมองผิดพลาดเห็นว่าอวัยวะของเราเป็นสิ่งแปลกปลอมมาทำอันตรายร่างกายเรา เลยต้องกำจัดซะ เลยมาทำลายไตของเราซะนี่ (ใจร้ายเนอะ) เมื่อไตวายส่งผลให้ระบบในร่างกายรวนไปหมด เพราะไตไม่สามารถกรองของเสียออกจากร่างกายได้ ทำให้เลือดเป็นพิษมีของเสียอยู่มาก ถ้ามาโรงพยาบาลช้ากว่านี้อีก 2 วัน อาจไม่รอด
เพื่อให้ร่างกายปลอดเชื้อโรค หมอเลยสั่งทำพลาสม่า คือการเปลี่ยนน้ำเหลืองในร่างกายใหม่หมด ทำอยู่ 3 ครั้งซึ่งทุกครั้งที่ทำจะเกิดอาการอาเจียนตลอดเวลาจนไม่มีอะไรจะออกมาแล้ว และหมอคาดว่าภายใน 3 เดือน ไตน่าจะกลับมาเป็นปกติ และทำการฟอกเลือดไปก่อนจนกว่าไตจะเป็นปกติ
3 เดือนผ่านไปอย่างทุลักทุเล ก็ไม่มีวีแววว่าไตจะดีขึ้น ไปแล้วไปลับไม่กลับมา หมอเลยต้องสรุปผลใหม่ว่าเป็นโรค "ไตวายเรื้อรัง" ต้องรักษาด้วยการฟอกเลือด หรือเจาะหน้าท้องใส่น้ำยาเพื่อไปดูดซึมของเสีย แล้วถ่ายน้ำออกเป็นเวลา ในช่วงแรกเลือกใช้วิธีเจาะหน้าท้อง เพราะสามารถทำเองที่บ้านได้ แต่ต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาด ก็เข้าห้องผ่าตัดเพื่อใส่สายฝังไปในท้อง หลังจากนั้นเราก็จะสายและถุงสำหรับถ่ายน้ำออกติดตัวไปด้วยตลอดเวลา เราจะเปลี่ยน้ำยา 4 ครั้งต่อวัน เช้า เที่ยง เย็น และเที่ยงคืน หลับไปแล้วต้องตื่นมาเปลี่ยนน้ำ (บางครั้งหลับตาทำ) ทำอยู่ได้ 3 เดือนเกิดอาการปวดท้อง พยายามวิเคราะห์หาสาเหตุก็ไม่พบว่าอะไรทำให้ปวดท้อง เพราะไม่ได้ติดเชื้อ
เมื่ออาการไม่หายขาด เลยตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการรักษา โดยการใช้วิธีฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียม ซึ่งต้องเข้าห้องผ่าตัดเป็นครั้งที่ 2 เพื่อทำการต่อเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดง เข้าด้วยกัน ไว้ใช้เพื่อใช้ในการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เราจะฟอกเลือดอาทิตย์ละ 2 ครั้งวันพุธและวันเสาร์ ฟอกเลือดแต่ละครั้งใช้เวลา 4 ชม. การใช้วิธีการนี้จะต้องระมัดระวังเรื่องอาหารไม่กินเค็มมากไปไม่เหมือนวิธีเจาะหน้าท้องทานได้มากกว่า เพราะเราเอาของเสียออกทุก 4 ชม. และไม่ดื่มน้ำมาก เพราะร่างกายไม่สามารถปัสสาวะเองได้ และวิธีฟอกเลือดจะดึงน้ำออกจากร่างกายด้วย ทำให้หลังจากฟอกเสร็จแล้วจะปวดหัวทุกครั้ง ยิ่งถ้าดึงน้ำออกมากจะปวดหัวมาก เคยมีครั้งหนึ่งเดินออกมาชั่งน้ำหนักแล้วหน้ามืดกอดเครื่องชั่งเป็นลมล้มไปด้วยกันเลย
ฟอกเลือดอยู่ 3 ปี วันหนึ่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์โทรมาบอกว่า ที่ได้ไปเข้าคิวเปลี่ยนไตไว้มีไตบริจาคที่คาดว่าจะเข้ากับร่างกายเราได้ ให้มาทดสอบเลือดก่อน 6 โมงเย็น ตอนที่โทรมาเป็นเวลาเกือบ 4 โมง และเราอยู่สงขลา ยังไงก็ไปไม่ทันแน่ เลยต้องสละสิทธ์ไปอย่างน่าเสียดาย แต่โลกยังไม่โหดร้ายเกิดไป โชคครั้งที่สองเข้ามาเยือน วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน 2540 อาบน้ำแต่งตัวจะไปตลาดจะออกจากบ้านอยู่แล้ว ได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ว่ามีไตที่คาดว่าจะเข้ากันได้ ในไปถึงโรงพยาบาลก่อนเที่ยง เลยรีบจับเครื่องบินไปกรุงเทพทันที่ ไปคนเดียวเลย โชคดีที่มีตั๋วเครื่องบิน ไปถึงโรงพยาบาลอีก 10 นาทีเที่ยง ก็มีการเจาะเลือดไปตรวจรอบแรก รอจน 4 โมงยังไม่รู้ผล หิวข้าวจนตาลาย เพราะตอนที่ได้รับโทรศัพท์พยาบาลบอกว่าไม่ให้กินอะไรไป ตอนนั้นหิวมากจนไม่อยากเปลี่ยนไตแล้ว หมอก็ออกมาบอกว่าจาก 8 คนที่เรียกมา มีผ่านเข้ารอบ 4 คน และเจาะเลือดไปอีกครั้งเพื่อทดสอบครั้งสุดท้ายเพื่อตรวจว่า เนื้อเยื่อเข้ากันได้มากที่สุดกี่คู่
ผลปรากฎว่า เราถูกรางวัลที่ 1 เนื้อเยื่อตรงกับผู้ให้บริจาคมากที่สุดถึง 5 คู่ เลยได้รับการเปลี่ยนไต ก็โทรไปบอกทางบ้านว่าได้เปลี่ยนไตแล้ว และจัดการเซ็นอนุญาตให้ตัวเองผ่าตัด เข้าห้องผ่าตัด 3 ทุ่ม ใช้เวลาผ่าตัด 4 ชั่วโมง มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนอยู่ห้องพักแล้ว อยู่โรงพยาบาล 1 เดือนกลับบ้านได้ และไปตรวจร่างกายที่จุฬาฯ ทุกเดือน เป็นเวลา 2 ปี จนเห็นว่าร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคแทรกซ้อนแล้ว เลยย้ายเคสมารักษาต่อที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์จนถึงปัจจุบันนี้
การปลูกถ่ายไตใหม่ เปรียบเหมือนการให้ชีวิตใหม่ ทำให้เรารู้สึกว่าเราเกิดใหม่ จากที่ไม่มีปัสสาวะมาเลยตลอด 3 ปี แต่เมื่อไตทำงานปุ๊บ ปัสสาวะมาทันที ของเสียลดลงจนอยู่ในค่าปกติ ประจำเดือนที่ไม่เคยมาเลย เปลี่ยนไตไปแค่ 5 วัน ก็มีมาเหมือนกัน สงสัยคงอัดอั้นมานาน ร่างกายที่เคยผ่ายผอมจากที่เคยมีน้ำหนักแค่ 38 กิโล เพิ่มขึ้นมาเพราะกินได้นอนหลับ สามารถทำอะไรที่อยากทำได้เหมือนคนอื่น ไม่ต้องผูกติดกับโรงพยาบาลทุกอาทิตย์
ทั้งหมดนี้ต้องบอกว่าตัวเองโชคดีมากๆ ที่ได้เปลี่ยนไต เพราะจองไตไว้แค่ 1 ปีก็ได้รับการปลูกถ่ายเปลี่ยนไตแล้ว
ในขณะที่บางคนรอมาเป็น 10 ปียังไม่ได้เปลี่ยน เนื่องจากผู้บริจาคอัวยวะยังมีไม่มากเมื่อเทียบกับผู้ที่รอคอยการเปลี่ยนไต แต่หลังจากนี้ไปจะอาศัยดวงไม่ได้แล้วในการรักษาไตใหม่ให้อยู่กับเราไปนาน แต่ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าจะดูแลร่างกายอย่างไร ที่จะทำให้ไตทำงานได้เหมือนคนปกติตลอดไป
ตัวเองปฏิบัติตัวเช่นนี้เรื่อยมา ไตที่ปลูกถ่ายใหม่ ก็อยู่เป็นเพื่อนคู่กายมาจนครบ 10 ปีแล้ว
พร้อมนี้ก็ขอให้จิตใจของตัวเองมั่นคงเข้มแข็ง และเชื่อมั่นว่า "ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว" เพื่อต่อสู้กับโรคต่อไป
จากนี้ต่อไปบอกพ่อแม่ไว้ว่า หากร่างกายส่วนใดของตัวเองมีประโยชน์กับคนอื่น ขอมอบให้ทั้งหมด
จากที่เคยเป็น "ผู้รับ" ในอดีต ขอเป็น "ผู้ให้" ในอนาคต
มาเยี่ยมคะ อ่านแล้วประทับใจมากคะ การดูแล ห่วงใย ของ ญาติมิตร
ที่ทำงาน คนรอบข้าง ...กำลังใจ เป็นยาที่นำมาก่อน เลยนะคะ
เปลี่ยนไต มา 10 ปี พี่หน่อย เปลี่ยนไต ก้าว เข้าปีที่ 5 คะ ....แต่รู้สึกว่า เป็นโน้น เป็นนี่ เยอะเกิน สงสัย ต้อง ปรับปรุงใหม่ นะคะ
ดีใจคะ ที่ อ่านหนังสือ พี่หน่อย จาก คุณรัตติยา เธอ น่ารัก จริงๆ