ฟ้าครับ
เล่าต่อเรื่องเนื้อหาครับ...
เอกสารการประชุมหลัก ๆ มีสามเล่ม อัดด้วยเนื้อหาสาระเต็มอิ่มครับ
ผู้วิจัยแตกโจทย์ออกมาสามสาขา...
การรวบรวมข้อมูลโครงการวิจัย ใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลวิจัยของ สวทช. และ วช. สองแหล่งนี้เป็นหลัก ทำให้มีข้อสงสัยว่า การวิจัยมองอนาคต ที่ใช้ฐานข้อมูลเป็นแหล่งข้อมูลหลัก จะมองอนาคตได้ไหม? และฐานข้อมูลเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นข้อมูลการสนับสนุนของ วช. อยู่แล้วตั้งแต่ต้น ทำให้เกิดสภาพไก่กับไข่หรือไม่?
โดยรวม ๆ การนำเสนอจะพูดเรื่องปัจจุบัน หรือ trend ใกล้ ๆ ที่มองเห็นได้ด้วยตาว่า ตอนนี้เริ่มมีอะไรแล้ว ใครกำลังทำอะไร ยกตัวอย่างว่าใครใช้อะไรอยู่ (เช่น ห้างโลตัสใช้โซลาร์เซลล์) ใครเป็นผู้นำ ฯลฯ มีบ้างที่พูดถึงโจทย์วิจัยที่ยังต้องการหา solution แต่น่าจะพูดถึงมากกว่านี้ในเชิงวิเคราะห์ แทนที่จะเป็นการยกตัวอย่างทีละเคสแบบ sporadic (แล้วแต่ว่าผู้วิจัยบังเอิญคุยกับใครมา หรือนึกอะไรออกก่อน) แต่ตรงนี้อาจจะเป็นเพียงเทคนิคการนำเสนอ ซึ่งก็เห็นว่า การเสนอแบบพูดคุยอย่างนี้ดีนะครับ ไม่ใช่ไม่ดี ผู้เสนอพูดเก่งครับ
value ที่เกิดขึ้นจากการลงทุนวิจัยคืออะไร?
สมมติฐานของการคำนวณ
หาค่ามูลค่าของแต่ละ sector และอัตราการเติบโตเพื่อคำนวณค่า value growth ปี 2552, 2553, 2554
lag factor
สมมติฐานอยู่บนงบประมาณรัฐจากสำนักงบประมาณ
เช่น งบประมาณตามนโยบายของ วช. เทียบกับงบที่รัฐอัดฉีดเข้าไป มีอยู่ในอัตรา 2.77% ดังนั้นผลงานวิจัยจะส่งผลต่ออุตสาหกรรม ไม่น่าจะเกิน 2.7% ของ value growth สาขาอุตสาหกรรม ตัวเลขนี้คือค่า attribution ของงานวิจัย ฯลฯ
ผู้วิจัยตั้งใจจะบอกว่า จะเทียบต่างประเทศกับไทย มีสาขาอะไร ที่นักวิจัยไทยควรสนใจเข้าไปทำวิจัย ผลออกมาว่า ก็อยู่ในสามสาขาที่ตั้งไว้แต่แรก ข้อเสนอส่วนใหญ่เป็นเรื่องของรายละเอียดในสาขานั้น ๆ ทำให้เกิดคำถามในใจว่า ตกลงสามสาขานั้น เป็นโจทย์ หรือเป็นคำตอบของโจทย์???
ไม่มีความเห็น