ถ้ารัฐจะลงทุนวิจัย ควรลงทุนในเรื่องอะไร? (3)


ผู้วิจัยตั้งใจจะบอกว่า จะเทียบต่างประเทศกับไทย มีสาขาอะไร ที่นักวิจัยไทยควรสนใจเข้าไปทำวิจัย ผลออกมาว่า ก็อยู่ในสามสาขาที่ตั้งไว้แต่แรก

ฟ้าครับ

เล่าต่อเรื่องเนื้อหาครับ...

เอกสารการประชุมหลัก ๆ มีสามเล่ม อัดด้วยเนื้อหาสาระเต็มอิ่มครับ

  • เล่ม 1 การรวบรวมและจัดหมวดหมู่ข้อมูล เล่มนี้มีการส่งมาให้อ่านล่วงหน้า เป็นเล่มที่รวบรวม แจกแจงข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันรายโครงการ ในสาขาต่าง ๆ
  • เล่ม 2 แสดงการวิเคราะห์ CBA และ NPV เล่มนี้เหมาะสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ หรือ MBA และนักวิเคราะห์อุตสาหกรรม ก่อนจะเริ่มอ่าน แนะว่าให้พลิกไปที่ภาคผนวกท้ายเล่ม แล้วอ่านสมมติฐานก่อน
  • เล่ม 3 การสังเคราะห์เพื่อเสนอแนทางของศักยภาพงานวิจัย รวมเอาผลการวิเคราะห์มูลค่า แบ่งตามสาขาและหัวข้อย่อย แต่ละส่วนมีคำแนะนำ ทิศทาง และแนวโน้ม
  • นอกจากนี้ยังได้รับแจกเอกสารข้อมูลของต่างประเทศที่มีประโยชน์มากอีกสองฉบับ
    • ของสหรัฐคือ Summary of AAAS estimates and analyses of US federal R&D appropriations in teh FY 2008
    • ของยุโรป EU's 7th research framework programme 2007-2013 (FP7)

ผู้วิจัยแตกโจทย์ออกมาสามสาขา...

  • เทคโนโลยีเกิดใหม่ (emerging technology) ประกอบด้วย เทคโนโลยีดิจิตอล นาโนเทคโนโลยี ไบโอเทคโนโลยี เทคโนโลยีพันธุกรรมศาสตร์ (ภายหลังสองสาขานี้ถูกรวมกัน) เทคโนโลยีวัสดุ
  • พลังงาน เน้นพลังงานทดแทนหรือทางเลือก เพื่อใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานชีวภาพ เซลล์เชื้อเพลิง พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม
  • พัฒนาการทางเศรษฐกิจ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการเงินการคลัง ระบบการค้า ภูมิรัฐศาสตร์ การค้าเสรี

การรวบรวมข้อมูลโครงการวิจัย ใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลวิจัยของ สวทช. และ วช. สองแหล่งนี้เป็นหลัก ทำให้มีข้อสงสัยว่า การวิจัยมองอนาคต ที่ใช้ฐานข้อมูลเป็นแหล่งข้อมูลหลัก จะมองอนาคตได้ไหม? และฐานข้อมูลเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นข้อมูลการสนับสนุนของ วช. อยู่แล้วตั้งแต่ต้น ทำให้เกิดสภาพไก่กับไข่หรือไม่?

โดยรวม ๆ การนำเสนอจะพูดเรื่องปัจจุบัน หรือ trend ใกล้ ๆ ที่มองเห็นได้ด้วยตาว่า ตอนนี้เริ่มมีอะไรแล้ว ใครกำลังทำอะไร ยกตัวอย่างว่าใครใช้อะไรอยู่ (เช่น ห้างโลตัสใช้โซลาร์เซลล์) ใครเป็นผู้นำ ฯลฯ มีบ้างที่พูดถึงโจทย์วิจัยที่ยังต้องการหา solution แต่น่าจะพูดถึงมากกว่านี้ในเชิงวิเคราะห์ แทนที่จะเป็นการยกตัวอย่างทีละเคสแบบ sporadic (แล้วแต่ว่าผู้วิจัยบังเอิญคุยกับใครมา หรือนึกอะไรออกก่อน) แต่ตรงนี้อาจจะเป็นเพียงเทคนิคการนำเสนอ ซึ่งก็เห็นว่า การเสนอแบบพูดคุยอย่างนี้ดีนะครับ ไม่ใช่ไม่ดี ผู้เสนอพูดเก่งครับ

value ที่เกิดขึ้นจากการลงทุนวิจัยคืออะไร?

  • หาออกมาเป็น net present value (NPV)
  • การวิเคราะห์ cost benefit analysis (CBA)

สมมติฐานของการคำนวณ

  • หาค่ามูลค่าของแต่ละ sector และอัตราการเติบโตเพื่อคำนวณค่า value growth ปี 2552, 2553, 2554

  • lag factor

attribution ของงานวิจัย (คิดตามแบบกระทรวงเกษตรออสเตรเลีย)
  • สมมติฐานอยู่บนงบประมาณรัฐจากสำนักงบประมาณ

  • เช่น งบประมาณตามนโยบายของ วช. เทียบกับงบที่รัฐอัดฉีดเข้าไป มีอยู่ในอัตรา 2.77% ดังนั้นผลงานวิจัยจะส่งผลต่ออุตสาหกรรม ไม่น่าจะเกิน 2.7% ของ value growth สาขาอุตสาหกรรม ตัวเลขนี้คือค่า attribution ของงานวิจัย ฯลฯ

ผู้วิจัยตั้งใจจะบอกว่า จะเทียบต่างประเทศกับไทย มีสาขาอะไร ที่นักวิจัยไทยควรสนใจเข้าไปทำวิจัย ผลออกมาว่า ก็อยู่ในสามสาขาที่ตั้งไว้แต่แรก ข้อเสนอส่วนใหญ่เป็นเรื่องของรายละเอียดในสาขานั้น ๆ ทำให้เกิดคำถามในใจว่า ตกลงสามสาขานั้น เป็นโจทย์ หรือเป็นคำตอบของโจทย์???

หมายเลขบันทึก: 162332เขียนเมื่อ 30 มกราคม 2008 16:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:32 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท