Subprime Loan เป็นสินเชื่อประเภทหนึ่งของสหรัฐฯ ที่ให้เงินกู้กับผู้ขอสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์มากกว่าหรือเท่ากับมูลค่าของหลักทรัพย์ จากปกติจะให้สินเชื่อประมาณ 80% ของมูลค่าหลักทรัพย์เท่านั้น นอกจากนี้ถ้าราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น ผู้ขอสินเชื่อก็สามารถขอวงเงินกู้เพิ่มเติมตามราคาหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นมาได้
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สินเชื่อ Subprime ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ขณะนี้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ทำให้ธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐฯ ต้องการเงินกู้คืนเพื่อป้องกันความเสี่ยง เมื่อผู้ขอสินเชื่อไม่มีเงินมาชำระ จึงกลายเป็นสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)
ตลาด Subprimeในธุรกิจสินเชื่อจึงมีความเสี่ยงที่สูงกว่า แต่ก็ให้อัตราผลตอบแทนแก่ผู้ให้กู้ในอัตราที่สูงกว่าตลาด Prime เช่นกัน โดยผู้กู้จะใช้ Subprime Mortgage หรือประเภทสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเมื่อผู้กู้เกิดปัญหาในการชำระหนี้ ส่งผลให้ผู้ให้กู้จำเป็นต้องประกาศชำระหนี้ของตนเอง โดยมีความต้องการที่จะชดใช้หนี้ด้วยการประกาศขายสินทรัพย์ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ในราคาที่ถูกกว่าราคาตลาด ทำให้มูลค่าหรือราคาอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวมีมูลค่าลดลงหรือต่ำกว่าราคาตลาด
ปัญหานี้เริ่มเกิดขึ้นในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ โดยฟองสบู่ของธุรกิจเกิดขึ้นในช่วงปี 2544-2548 ในแคลิฟอร์เนีย ฟลอริด้า นิวยอร์ค ซึ่งมีการปล่อยกู้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่ด้อยมาตรฐาน ด้วยการประเมินมูลค่าอสังหาฯ สูงเกินมูลค่าจริง โดยอ้างอิงถึงมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในอนาคตเป็นเกณฑ์การให้สินเชื่อ และเมื่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์จากจุดที่ใช้ประเมินมูลค่า ผู้กู้ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ Subprime ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันนั้นถดถอยลงไปอีก จึงเกิดการปรับฐานของมูลค่าสินทรัพย์ครั้งสำคัญขึ้นในปี 2548
ผลกระทบจากมูลค่าสินทรัพย์ที่ลดลงในครั้งนั้น ได้ส่งผลถึงตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้าง ตลอดจนกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ซึ่งถือหุ้นโดยนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ต่างๆ และท้ายสุดคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการถดถอยของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ด้วย