สอบ ๗ ข้อ ไพบูลย์-พลเดช


                    เมื่อครู่ใหญ่ ๆ ปั่นจักรยานไปหาซื้อดินสอ ๒ บีให้ลูกชายเลยถือโอกาสแวะอ่านหนังสือพิมพ์ที่แผงหนังสือ  พบการพาดหัวในกรอบหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ ที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๑ ความว่า

                   " ขรก.พม.๒ พันคนจี้นายกฯ สอบ ๗ ข้อ ไพบูลย์-พลเดช ....อ่านต่อหน้า ๑๖  ..."  ผมก็อ่านต่อเห็นแล้วไม่ไหวเลยซื้อมาอ่านที่บ้านอีก

                    ก่อนนอนไปค้นหาหนังสือที่ตู้หนังสือที่บ้าน ได้เปิดหาหนังสืออาทิตย์ รายสัปดาห์ วันที่ ๒๑-๒๗ มีนาคม ๒๕๔๐ ที่มีหน้าปกมีภาพคุณอานันท์ ปันยารชุน พร้อมข้อความว่าเปิดใจ " สังคมไทยเป็นสังคมเส้นประสาท " เนื้อหาน่าสนใจผมเก็บไว้มาเป็นเวลานาน

                    ข้อยกถ้อยคำในหนังสืออาทิตย์ฯ หน้า ๒๑ มาความว่า @ สังคมไทยเป็นสังคมเส้นประสาท ... เกิดขบวนการบิดพริ้วความจริง ขบวนการฆ่าที่ไม่ใช่ฆ่าให้ตายในทางเลือดเนื้อ แต่ฆ่าความนิยม ฆ่าความเชื่อถือ ฆ่าความดี และที่สุดก็คือฆ่าความจริง @

                    ขออภัยที่วันนี้ขอเขียนเท่านี้ไว้ก่อน เพราะวันนี้ผมเหนื่อยมามากจะมาเขียนต่ออีกพรุ่งนี้ครับ ขอเรียนว่าแม้ผมจะไม่เคยรู้จักมักคุ้นกับ อ.ไพบูลย์ และ นพ.พลเดช เป็นส่วนตัวมากมายนัก เท่าที่ได้ติดตามข่าวสารการทำงาน ผลงานต่อเนื่อง เห็นว่า ท่านทั้ง ๒  ทำงานบนพื้นฐานของการมีข้อมูล เป็นคนดี   ผมรู้สึกห่วงใยท่านทั้ง ๒ ที่ตกต้องเป็นข่าวทั้ง ๆ ที่เป็นทำงานมาด้วยดี  จึงขอเขียนข้อความไว้ขอให้กำลังใจท่านทั้ง ๒  ไว้ที่นี่จากใจจริง.

                                                                     

 

คำสำคัญ (Tags): #บันทึกย่อ
หมายเลขบันทึก: 157639เขียนเมื่อ 5 มกราคม 2008 21:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:14 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
  • นำหนังสือพิมพ์ที่ซื้อมาอ่านแล้วอ่านอีก
  • ผู้อาวุโสตามข่าวให้ข้อมูลแจ่มชัดว่า จะได้ถือโอกาสชี้แจงในเรื่องที่ผู้ลงชื่อไม่รู้ เพื่อที่จะได้เข้าใจ
  • ผมมองว่า การบริหารหน่วยงานราชการรัฐนั้นมีกฎเกณฑ์กติกาอยู่  การที่บรรดาผู้ลงนามในนั้นอึดอัดจนละเลย สิ่งที่ข้าราชการพึ่งปฏิบัติ ส่อแสดงความลืมอ่านระเบียบแห่งตน
  • ไม่เป็นไร หากจะอ้างว่า ที่ลงนามไปนั้นในนามประชาชน ๆ ทำได้หมดนั่นแหละ ..... เออ เป็นข่าวจนได้  แล้วอีกหน่อยพวกท่านโดนลูกน้องบ้าง  โปรดอย่าได้ลงทัณฑ์ลูกน้องกันนะครับ เพราะเขาก็อ้างสิทธิแบบท่านเช่นกัน
  • การแสดงความคิดเห็นภายใน รธน.หรือ กฎหมายที่เกี่ยวข้องนั้นทำได้ เป็นที่รับรู้ทั่วกัน แล้วหากไม่พอใจก็มีศาลปกครอง ได้ยินเขาว่ากันมา แต่ตามข่าวเอากันแบบนี้ ก็แปลกอยู่ 
  • บ้านเมืองภายหน้าคงจะยุ่งกันใหญ่ เพราะข้าราชการพากันเป็นกันเสียเอง ทำในนามประชาชนว่างั้นเถอะ
  • ยัง งง ๆ กับข่าวนี้อยู่ว่าอาหล่าย
  • ใครจะอยู่ หรือใครจะไป ก็ต้องอยู่ที่ข้อมูล ขั้นตอนต่าง ๆ นั่นเอง
  • ก็ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างนี้  ดูเถอะพี่ ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่กระทำกัน
  • ถือว่าเราคนธรรมดาได้เรียนรู้ และก็คงมีตอนต่อไปอีก สวัสดี
  • http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0116060151&day=2008-01-06&sectionid=0101
  • เมื่อวันที่ 5 มกราคม นพ.พลเดช ปิ่นประทีป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กล่าวถึงข้อกล่าวหา 7 ประเด็นว่า ยืนยันว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดไม่เป็นความจริง คาดมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะต้องโดนโจมตี เมื่อเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง พม. พร้อมนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. ก็พอทราบเรื่องความขัดแย้งและข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตมากมาย แต่ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพราะส่วนใหญ่เป็นเพียงบัตรสนเท่ห์ ไม่ได้ลงชื่อ จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2550 มีข้อร้องเรียนเข้ามา ตนและนายไพบูลย์ จึงนิ่งเฉยไม่ได้ และเมื่อดำเนินการเรื่องนี้ รู้อยู่แล้วว่าต้องถูกโจมตี และไม่แปลกใจ กับใบปลิว หนังสือล่ารายชื่อและข้อกล่าวหาต่างๆ ทั้งนี้ ได้พยามดำเนินการทุกอย่างอย่างรอบคอบ มีการตั้งกรรมการคณะกรรมซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เข้ามาตรวจสอบเรื่องทุจริตร้องเรียนต่างๆ

    "การดำเนินการจะเห็นได้ว่าปัญหาข้อร้องเรียนที่เกิดเป็นข่าวเริ่มจากวันที่ 4 ตุลาคม 2550 จากนั้นได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบวันที่ 8 ตุลาคม ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน กว่าจะรู้ผลสอบใช้เวลากว่าเกือบ 3 เดือน ใช้เวลาค่อนข้างนาน โดยการตรวจสอบทำอย่างรอบคอบ และได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม คาดคิดอยู่แล้วว่าต้องโดน เหมือนเราเป็นกรรมการห้ามมวย กรรมการก็ต้องโดนชกไปด้วย เพราะรู้อย่างนี้จึงต้องมีการตั้งกรรมการสอบอย่างรอบคอบและไม่เร่งรีบ ถ้าไม่ตั้งกรรมการสอบใดๆ จัดการ ก็ต้องโดนศาลปกครองจัดการและแพ้แน่นอน ที่ผ่านมาผมมีหลักอิงตลอด คือ คำสั่งนายกฯ กับผลสอบของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เราไม่ได้มีอคติและกลั่นแกล้งใคร" นพ.พลเดชกล่าว

    ทั้งนี้ นพ.พลเดชชี้แจงข้อร้องเรียน 7 ประเด็น ที่โจมตีการบริหารงานภายในกระทรวง พม.ด้วยว่า ข้อ 1 เกี่ยวกับการจ้างคนของตัวเองมาทำงานเฉพาะกิจในกระทรวงเสียงบประมาณกว่า 2 ล้าน ยืนยันว่าการจ้างคนมาทำงานมีเหตุผล เนื่องจากเป็นโครงการใหม่ คือ ศูนย์ป้องกันและลดความรุนแรง ซึ่งเป็นงานใหม่จึงต้องใช้คนที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะมีการจ้างคนนอก เพราะเป็นงานใหม่ ขณะที่ข้าราชการมีงานประจำอยู่แล้ว แต่จะจ้างเป็นโครงการๆ ไปแล้วจบ เหมือนที่นายวัลลภ พลอยทับทิม อดีตปลัดกระทรวง พม.เคยทำ โดยตนเป็นฝ่ายให้นโยบาย แต่อดีตปลัด พม.เป็นฝ่ายปฏิบัติ

    ข้อ 2 การใช้ช่องว่างทางกฎหมายตั้งหน่วยงานภายในกระทรวง พม. เป็นการกล่าวหาแบบไม่มีเหตุผล เพราะตั้งหน่วยงานในกระทรวง พม. ถ้าจำเป็นก็ต้องได้หมด แต่เรามุ่งทำประโยชน์ให้กับประชาชนและเครือข่ายทางสังคม ยืนยันว่าไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องแน่นอน บุคคลเหล่านี้ตนแค่สนับสนุนให้ทำงานเต็มที่ ซึ่งเป็นเครือข่ายของกระทรวง พม.อยู่แล้ว อาทิ เครือข่ายผู้หญิง และเด็ก

    ข้อ 3 กรณีจ้างคนภายในนอกมาทำประชาสัมพันธ์ ผลงานล้มเหลว เป็นข้อร้องเรียนที่ผิดและมั่ว ไม่มีมูล เพราะตนไม่เคยยุ่งเรื่องเงินงบประมาณ เป็นการกล่าวหาเพื่อสร้างตัวเลขให้คนอ่านข่าว รู้สึกว่ามีการทุจริตร้ายแรง เป็นวิธีการที่สกปรก ถ้าฟ้องได้ ตนก็จะฟ้องทันทีหากทราบว่าเป็นใคร เพราะตนไม่มีเพื่อนพ้องอยู่ในวงการการจัดประชาสัมพันธ์เลย และไม่มีอำนาจในการดำเนินการอย่างที่กล่าวหา แต่เป็นอำนาจของอดีตปลัดกระทรวง พม.ทั้งสิ้น และการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ที่ผ่านมาก็ใช้เงินไม่ถึง 50 ล้าน อย่างที่กล่าวหา

    ข้อ 4 กรณีใช้อำนาจการบริหารเปลี่ยนแปลงงบฯกว่า 90 ล้านบาท ไปดำเนินโครงการของพรรคพวก เป็นการปรักปรำมากกว่า เพราะได้ให้นโยบายว่าต้องแจ้งงบประมาณและส่งงบประมาณในท้องที่ให้รวดเร็ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณแน่นอน พรรคพวกของตนคือประชาชน

    ข้อ 5 กรณีหาผลประโยชน์ให้พวกพ้องโดยใช้ลู่ทางการซ่อมแซมสำนักงาน เพื่อหาเงินให้พวกพ้อง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน ตนเพียงแต่ทราบมาว่าหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีจะดำเนินงานซ่อมแซมสำนักงานรัฐมนตรีซึ่งเป็นวังเก่า เนื่องจากมีรอยบวมจำเป็นต้องกะเทาะและทาสี ซึ่งใช้งบประมาณไม่ถึง 1 ล้านบาท

    ข้อ 6 การสร้างภาพพจน์เอาดีใส่ตัว ให้สัมภาษณ์ว่าร้ายคนอื่น เรื่องนี้แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน ซึ่งไม่เคยวิตก ถือว่าเรื่องนี้วิจารณ์กันได้เป็นเรื่องมุมมองที่ย่อมแตกต่างวิจารณ์กันได้

    ข้อ 7 การโอนย้ายบุคลากรจากระทรวงสาธารณสุข มากระทรวง พม. และโยกย้ายข้าราชการประจำ ยอมรับว่ามีข้าราชการจากหน่วยงานต่างๆ ขอย้ายมาจริง เพราะเห็นบทบาทที่โดดเด่นของตน และนายไพบูลย์ ในกระทรวง พม. ทำให้มีผู้อยากจะขอย้ายมาอยู่ที่กระทรวง พม. แต่ก็ย้ายมาได้เพียงบางส่วน โดยต้องให้ต้นสังกัดเดิมพิจารณา และตนไม่สามารถจะขอให้ใครย้ายมาได้ แต่ปลัดกระทรวง พม. ต้องทำเรื่องขอไป และหน่วยงานต้นสังกัดเดิมมีความเห็นชอบด้วย ข้าราชการที่ย้ายมาก็เป็นระดับ 4-5 มีระดับ 7 หนึ่งคน มาจากกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุข


  • "...........นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการ ก.พ. กล่าวว่า ยังไม่ได้รับหนังสือข้อร้องเรียนของข้าราชการกระทรวง พม. เชื่อว่าน่าจะเป็นข่าวลือหรือข่าวปล่อยมากกว่า @ "
  • สวัสดีครับคุณTanu
  • บ้านเมืองของเรานับวันจะมีแต่ความวุ่นวายนะครับ
  • อย่างไรก็ขอให้คนไทยรักและสามัคคีกันไว้ครับ  อะไรๆจะได้ดีขึ้น
  • อย่างไรก็จะเป็นกำลังใจให้ทั้งสองท่านครับ
  • ขอบคุณมากครับ

สวัสดีค่ะ

แวะมาทักทายและขอบคุณกำลังใจที่นำไปมอบให้ค่ะ

ติดตามอ่านและเป็นกำลังใจให้เช่นกันค่ะ

ขอบคุณนะคะ

รักษาสุขภาพด้วยค่ะ

(^___^)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท