หมอบ้านนอกไปนอก(45): เทพธิดาบอลติก


เฮลซิงกิ เมืองหลวงของฟินแลนด์ได้รับสมญานามว่าเทพธิดาแห่งบอลติก เป็นเมืองขนาดเล็กที่มีเสน่ห์น่าเยี่ยมชม เป็นจุดผ่านไปยังเมืองของประเทศอื่นๆได้ง่าย การเที่ยวเฮลซิงกิใช้เวลาไม่มากก็เที่ยวได้ทั่วเมือง ผู้คนมีอัธยาศัยใจคอดี การเดินทางสะดวกสบาย

อากาศหนาวที่เบลเยียมปีนี้ ทำให้คนในพื้นที่ชานเมืองได้ฉลองคริสต์มาสสีขาว (White Christmas) เป็นปีแรกในรอบหลายๆปีที่ไม่ได้มีหิมะตกช่วงปลายเดือนธันวาคม แต่ในตัวเมืองก็ยังคงไม่มีหิมะตก ผมเริ่มต้นสัปดาห์ที่ 16 ของหลักสูตรในวันที่ 24 ธันวาคม ด้วยการตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่งด้วยเสียงปลุกของเจ้านาฬิกาตัวน้อยที่พี่เกษมให้ไว้ ด้วยความวิตกกังวลทำให้นอนหลับไม่สนิทตื่นแทบทุกชั่วโมง เสร็จภารกิจส่วนตัวแล้วก็รีบลากกระเป๋าใบโตออกจากบ้านไปรอรถรางที่ถนนอเมริกาเล่ รอได้สักพักก็เอะใจไปดูตารางรถ ปรากฏว่ารถรางเที่ยวแรกเริ่มที่เวลา 04.54 น. ต้องรออีกกว่าครึ่งชั่วโมง อาจจำให้ผมตกรถบัสไปสนามบินได้ เลยตัดสินใจเดินลากกระเป๋าฝ่าความหนาวของผิวกายด้วยใจอันอบอุ่นที่จะได้กลับบ้านมุ่งหน้าไปยังเซ็นทรัลสเตชั่นที่มองเห็นไม่ไกลด้วยป้ายของตึกเดต้า

เกือบครึ่งชั่วโมงไปถึงจุดจอดรถบัสสนามบินที่หน้าสถานีรถไฟกลาง มีคนมารอขึ้นรถสองสามคน รถเที่ยวแรกตีสี่ออกไปแล้ว รอรถเที่ยวที่สองตีห้า ได้คุยกับชายหนุ่มชาวโปตุเกส อาชีพขับรถบรรทุกปลาแซลม่อนจากสวีเดนมาที่แอนท์เวิปแล้วก็มีเวลาพักช่วงคริสต์มาส จึงตีตั๋วเครื่องบินกลับบ้านไปหาครอบครัวที่โปรตุเกสที่ภรรยาและลูกสองคนรออยู่  เขาบอกว่าอาชีพขับรถบรรทุกของเขาทำให้ได้ไปเที่ยวทั่วยุโรป เราคุยกันด้วยมิตรไมตรีดั่งกับรู้จักกันมานาน เสียดายไม่ได้ถามชื่อกันไว้ รถบัสพาเราเข้าสู่สนามบินบรัสเซลส์ ขึ้นลิฟต์ไปชั้นสามเพื่อเช็คอิน ผมรีบออกมาแต่เช้าตรู่เพราะเกรงว่าช่วงเทศกาลจะคลาคล่ำไปด้วยฝูงชน แต่คาดการณ์ผิดถนัด สนามบินกลับมีคนน้อยมาก น้อยจนรู้สึกเหงา

สนามบินซีเวนตัมของเบลเยียมที่ถือเป็นศูนย์กลางของยุโรปไม่ได้มีขนาดใหญ่โตนัก ผู้คนไม่พลุกพล่าน ผมซื้อตั๋วของฟินแอร์ด้วยราคาแพงเป็นพิเศษจากการที่ไม่ได้จองล่วงหน้าไว้ก่อนและเป็นช่วงเทศกาล เช็คอินที่ช่อง 4-5 เป็นช่องของบรัสเซลส์แอร์ที่เป็นพันธมิตรกับฟินแอร์ สนามบินออกแบบเรียบง่ายชั้นที่หนึ่งเป็นขาเข้า ชั้นสามเป็นขาออก แบ่งช่องทางสำหรับผู้โดยสารขาออกเป็น 72 ช่อง ทำเป็นอาคารทางเดินยาวไปตลอด ไม่แบ่งกั้นออกเป็นห้องเล็กๆ ทำเป็นลานโล่ง ใช้กระจกใสเป็นผนัง พื้นปูด้วยแกรนิตสีแดง ดูสะอาดตา ทางเดินไปประตูทางออกเป็นบันไดเลื่อน มีห้องน้ำเป็นระยะๆ มีตู้เครื่องดื่มชนิดหยอดเหรียญไว้บริการ มีร้านอาหารและร้านขายสินค้าปลอดภาษีไม่มากนัก ภายในอาคารประดับด้วยภาพวาดและประติมากรรมที่ดูเรียบง่ายแต่ลุ่มลึกทางปัญญา มีอินเตอร์เน็ตแบบหยอดเหรียญไว้บริการในระคาต่ำสุด 3 ยูโร

เวลา 9.20 พนักงานเรียกขึ้นเครื่องบินเป็นของบรัสเซลส์แอร์ เครื่องบินขนาดเล็กแบบAVRO RJ85 Avroliner ประมาณ 80 ที่นั่ง สองแถวๆละ 2 กับ 3 ที่นั่ง มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสามคนคอยต้อนรับด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสกับผู้โดยสารประมาณ 40 คน เครื่องบินค่อยๆออกตัวบนทางวิ่งอย่างนุ่มนวล ทะยานสู่ท้องฟ้า บินอยู่เหนือปุยเมฆที่อัดแน่นกันอยู่ด้านล่าง ดูคล้ายละลอกคลื่นในทะเล สีขาวสวยงามตัดกับขอบฟ้าสีฟ้าสดใส พนักงานเสิร์ฟอาหารเช้าแบบยุโรปและต่อด้วยแชมเปญเป็นพิเศษในเทศกาลคริสต์มาส เวลาผ่านไปสองชั่วโมงสี่สิบนาทีเครื่องบินก็ค่อยๆลดระดับแหวกม่านทะเลหมอกลงจอดที่สนามบินเฮลซิงกิเมื่อเวลา 13.20 น. เพื่อต่อเครื่องบินของฟินแอร์กลับสู่กรุงเทพมหานครในเวลา 20.20 น. ผมมีเวลารอคอยอยู่ที่สนามบินถึง 7 ชั่วโมง

พอลงจากเครื่องบินแล้วผมก็เดินสำรวจสนามบินเฮลซิงกิ ถามยืนยันการเช็คอิน ผมสอบถามพนักงานที่สนามบินและศูนย์ข้อมูลถึงการออกไปเที่ยวในตัวเมืองเฮลซิงกิ หลังจากนั้นผมก็นั่งรถบัส 615 ที่ด้านหน้าสนามบินเพื่อเข้าไปในตัวเมือง (สามารถนั่งรถบัสของฟินแอร์ได้ แต่สถานีจอดตรงข้ามกัน ใกล้ๆอาคารที่ทำการไปรษณีย์) ผมเปลี่ยนการรอคอยอันน่าเบื่อหน่ายไปสู่การเดินทางอันแสนตื่นเต้น รถบัสแล่นไปตามถนนลาดยางที่สองข้างเต็มไปด้วยป่าสน สักครึ่งชั่วโมง ก็ก้าวผ่านพื้นที่ป่าเข้าสู่เขตเมือง มองเห็นตึกรามบ้านช่องสองข้างถนน เป็นตึกทรงสูงสี่เหลี่ยม หน้าต่างเป็นกระจกบานเล็กๆ ท้องฟ้าไร้ซึ่งแสงแดด ดูเหมือนเวลาเย็นมากกว่าจะเป็นเวลาบ่าย บนถนนมีทั้งรถยนต์และรถรางไฟฟ้าที่วิ่งบริการประชาชน ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน ผู้คนไม่มากนัก ลักษณะตึกอาคารต่างๆเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด ทราบว่าเป็นสไตล์นีโอคลาสสิก ที่สถาปนิกชาวเยอรมันชื่อคาร์ล ลุดวิก เอนเกล (Carl Ludwig Engel) ได้เป็นผู้ออกแบบเพื่อให้เฮลซิงกิกลายเป็นเมืองนีโอคลาสสิกหลังจากถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1808

รถบัสเข้าไปจอดสถานีปลายทางที่ด้านข้างสถานีรถไฟ (Central Railway station) บริเวณRailway square ผมลงจากรถบัส ชมความงามของอาคารรอบๆสถานีรถไฟที่ดูตื่นตาตื่นใจ ผมมีเวลาเที่ยวเฮลซิงกิไม่มากนัก มือซ้ายถือแผนที่ที่ได้มาจากสนามบิน มือขวาถือกล้องถ่ายรูป สองเท้าทำหน้าที่ก้าวแข่งกับเวลา สองตาสอดส่องมองภาพอันสดใส ใจคอยซึมซับความประทับใจ สมองคอยสั่งการว่าจะไปทางไหนบ้าง ปากคอยถามทางและขอคนช่วยถ่ายรูปให้ ท่ามกลางความเหน็บหนาวของอากาศ มิตรภาพไมตรีจิตที่ได้จากคนที่เฮลซิงกิช่วยสร้างความมั่นใจให้ผมได้เยอะ ผมเริ่มต้นด้วยการไปที่ซีเนตสแควร์ (Senate Square) โดยเริ่มต้นจากหาจุดอ้างอิงคือร้านสต็อกแมน (Stockmann) แล้วก็เดินไปตามถนนตรงด้านหน้าร้าน (Yliopistonkatu) ไปได้สักระยะหนึ่ง ผมก็ได้เห็นอาคารสีขาวตั้งเด่นสง่านั่นคือโบสถ์ (Cathedral) พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่สอง หลังคาเป็นรูปโดมสามอัน ตรงกลางขนาดใหญ่กว่าสองข้าง ด้านหน้าโบสถ์มีอนุสาวรีย์ของท่านตั้งอยู่ เดินขึ้นบันไดเข้าไปชมความงามของโบสถ์ได้ สองข้างเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเหลือง ด้านซ้ายเป็นมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ด้านขวาเป็นทำเนียบรัฐบาล

ผมเดินต่อไปที่ตลาดริมทะเล (Market Square) ที่เซาท์ฮาร์เบอร์ (South harbour) แต่น่าเสียดายตลาดวายไปแล้วเหลือแค่ร้านขายปลาแซลมอนแค่ร้านเดียว ถ้าตลาดไม่วายจะเป็นตลาดที่ขายของหลายอย่าง แผงขายดอกไม้ ของกินนานานชนิด ไอศกรีม ปลาแซลมอนสดและรมควัน อาจเป็นไปได้ว่าผมไปช่วงบ่ายและเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาสทำให้ตลาดวายเร็ว ผมเดินรับลมทะเลริมทะเลบอลติก ท้องทะเลสีคราม ละลอกคลื่นต้องลมพลิ้ว ละลอกแล้วละลอกเล่า ขอบฟ้าสีครามมองเห็นอยู่ไกลๆตัดกับผืนน้ำ ด้านข้างตลาดมีท่าเรือไวกิ้งและร้านอาหารที่เป็นอาคารเก่ากว่าร้อยปี มองเห็นเนินเขาริมทะเล เห็นเกาะเล็กๆเหมือนอยู่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก ทิวทัศน์ริมทะเลพาใจให้เพลิดเพลิน ต้องเตือนตัวเองด้วยนาฬิกาว่ามีเวลาดื่มด่ำความสุขริมทะเลบอลติกไม่มากนัก เดินไปสักพักก็เห็นอาคารสีแดงหลังคาเขียวมองเห็นแต่ไกลนั่นคือโบสถ์อุสเพนสกี้ (Uspensky cathedral) เป็นโบสถ์คริสต์ออร์โธดอกซ์ที่เป็นเครื่องแสดงถึงความสัมพันธ์ของฟินแลนด์กับรัสเซีย ที่เคยปกครองฟินแลนด์อยู่ถึง 108 ปี

ไม่ห่างจากโบสถ์นี้นักมีโรงแรมหลังใหญ่สไตล์นีโอคลาสสิกสวยงามอยู่ตรงข้ามกับตลาดริมทะเล มองเห็นท่าจอดเรือไวกิ้ง (Viking) และซิลเลียไลน์ (Silja line) เป็นเรือที่ชาวเมืองแถบทะเลบอลติกใช้เดินทางไปมาหาสู่กัน จากจุดนี้สามารถเดินทางไปสต็อกโฮล์ม ของสวีเดน เซนต์ปีเตอร์เบอร์กของรัสเซียและทาลลินของเอสโตเนียได้ ผมรีบเดินกลับสถานีรถบัสขณะที่ความมืดได้ปรากฏตัวออกมามากขึ้น แสงอาทิตย์ลับหายไปนานแล้ว ผมเดินไปเจอชายร่างเล็กลักษณะเป็นคนแขก มาเดินเล่นกับภรรยา แม่ภรรยาและลูกๆอีกสี่คน เขาทักผมว่าเป็นคนมาเลเซียเหรอ ผมบอกว่าผมเป็นคนไทย เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนไทย เราพูดภาษาไทยกัน เขาเล่าว่าเขาเคยทำงานอยู่พัทยา ตอนนี้น้องสาวเขาทำอยู่ ส่วนเขามาอยู่ที่เฮลซิงกิหลายปีแล้ว เราคุยกันได้สักประเดี๋ยวก็แยกย้ายกัน เขาอวยพรให้ผมโชคดีพร้อมกับคำพูดที่บอกว่า อยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนเมืองไทย

เฮลซิงกิ เมืองหลวงของฟินแลนด์ได้รับสมญานามว่าเทพธิดาแห่งบอลติก เป็นเมืองขนาดเล็กที่มีเสน่ห์น่าเยี่ยมชม เป็นจุดผ่านไปยังเมืองของประเทศอื่นๆได้ง่าย การเที่ยวเฮลซิงกิใช้เวลาไม่มากก็เที่ยวได้ทั่วเมือง ผู้คนมีอัธยาศัยใจคอดี การเดินทางสะดวกสบาย อาจซื้อตั๋วท่องเที่ยวเมือง (HKL Tourist ticket) ที่มีให้เลือกเป็นสามประเภทคือ 1 วัน 3 วันหรือ 5 วัน ในราคา 6, 12, 18 ยูโร ตามลำดับ เด็กอายุ 7-16 ปี ลดเหลือครึ่งหนึ่ง สามารถเดินทางโดยไม่จำกัดเที่ยวทั้งรถราง รถไฟใต้ดิน รถบัส รถไฟและเรือเฟอร์รีไปที่ Suomenlinna ได้ ติดต่อสำนักงานท่องเที่ยวเมืองได้ที่ www.visithelsinki.fi  ร้านค้าส่วนใหญ่ปิด 6 โมงเย็น ธนาคารเปิดตั้งแต่ 9.15 เช้าถึง 4 โมงเย็น

คงมีหลายคนที่เข้าใจผิด รวมทั้งตัวผมด้วยที่คิดว่าประเทศฟินแลนด์เป็นกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ซึ่งไม่ใช่ สแกนดิเนเวียหมายถึงประเทศเดนมาร์ก นอร์เวย์และสวีเดน โดยสามประเทศนี้เคยเป็นประเทศเดียวกัน มาแยกเป็นสามประเทศเมื่อ ค.ศ. 1814 ถ้ารวมฟินแลนด์และไอซ์แลนด์เข้าไปเป็น 5 ประเทศ เรียกว่ากลุ่มประเทศนอร์ดิก (Nordic country) ถือเป็นประเทศในกลุ่มเชงเก็น ที่รวมตัวกันทำให้การขอวีซ่าระยะสั้นไม่เกิน 3 เดือนในการเดินทางไปในกลุ่มประเทศเชงเก็น สามารถขอวีซ่าประเทศเดียวแต่เข้าประเทศอื่นๆในกลุ่มได้ รวมทั้งเข้าสวิตเซอร์แลนด์ได้ด้วย คนฟินแลนด์เรียกว่าฟินนิช (Finnish) แม้จะเป็นประเทศเล็กๆแต่ก็มีความเจริญขึ้นชื่อในหลายๆเรื่อง สินค้าด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อของฟินแลนด์คือบริษัทโนเกีย (Nokia)

ผมเดินกลับมาที่สถานีรถไฟตามถนนที่ขนานกับขาไป (Pohjoisesplanadi) เข้าไปเที่ยวชมสถานีรถไฟที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก แทบไม่มีผู้คนเลย ด้านข้างมีอุโมงค์ใต้ดินเป็นร้านขายของที่เปิดตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม แล้วก็กลับมายืนรอรถบัสที่สถานี ได้เจอกับน้องคนหนึ่งชื่อบาร์บารา (Barbara) นั่งรถไปด้วยกัน ได้คุยกันตลอดทาง น้องเขาเป็นสาวเยอรมัน มาเรียนแพทย์ที่เฮลซิงกิ ตอนนี้เป็นแพทย์ฝึกหัด (Internship) เขาบอกว่าอยากเป็นศัลยแพทย์สมอง ถ้าเรียนจบแล้วจะสมัครเรียนต่อเลย ที่เฮลซิงกิมีชื่อเสียงเรื่องการผ่าตัดเส้นเลือดสมอง พอถึงสนามบินก็แยกย้ายกัน น้องบาร์บารามารอรับแฟนที่สนามบิน ผมเดินขึ้นไปที่ชั้นสองที่เป็นจุดเช็คอินและเป็นทางออกไปขึ้นเครื่อง ยังคงมีเวลาเหลืออีกสามชั่วโมง

ผมเดินสำรวจสนามบิน ไปเจอกับผู้โดยสารคนหนึ่งที่จำได้ว่านั่งเครื่องบินมาจากบรัสเซลส์ด้วยกัน ได้ทักทายพูดคุยกัน เขาเป็นหนุ่มอินเดียกำลังจะกลับบ้านที่อินเดีย เขาเรียนเอ็มบีเอได้ทุนแลกเปลี่ยนมาเรียนที่บรัสเซลส์สามเดือน หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว ผมก็เดินไปหาอาหารกลางวันรับประทานในสนามบิน สนามบินเฮลซิงกิ (Helsinki Vantaa airport) มีขนาดเล็กกว่าสนามบินบรัสเซลส์อีก แต่เป็นจุดที่เชื่อมต่อระหว่างยุโรปกับเอเชีย ผู้คนไม่พลุกพล่าน สนามบินแยกเป็นส่วนนานาชาติกับในประเทศ มีช่องเช็คอินไม่มากนัก ผมเดินผ่านการตรวจความปลอดภัยเข้าไปด้านใน ร้านขายของปลอดภาษีอยู่หลายร้าน สินค้าก็คล้ายๆกันกับสนามบินอื่นๆ ช่องสำหรับเดินทางออกนอกประเทศยุโรปเป็นช่องที่ 30-33 ก่อนเข้าไปในห้องรอผู้โดยสารต้องผ่านด่านตรวจศุลกากรซึ่งมีอยู่แค่ 4 ช่อง เปิดทำการแค่สองช่อง วีซ่าผมหมดอายุแต่ใช้บัตรผู้อยู่อาศัยชั่วคราวแทน เจ้าหน้าที่เป็นกันเองและยิ้มแย้มแจ่มใสดีมาก

เข้าไปนั่งรอในอาคารผู้โดยสาร มีร้านอาหารชื่อเฟรช (Fresh) ให้บริการ มีผู้โดยสารเข้าไปนั่งพอควร แต่ส่วนใหญ่ดื่มกาแฟกับเบียร์แล้วก็นั่งคุยกัน ตอนแรกประตู 33 แล้วเปลี่ยนเป็น 30 แต่ตอนจะขึ้นเครื่องเปลี่ยนเป็น 32 ผมนั่งรออยู่ก็แปลกใจว่าทำไม่ไม่มีคนรอเลย พอไปดูที่จอมอนิเตอร์ก็ได้รู้ว่าเปลี่ยนประตูขึ้นเครื่องใหม่ เวลา 19.45 น. ได้เวลาขึ้นเครื่องบิน เป็นของฟินแอร์ชนิดแอร์บัส 340 เอ 300 ระยะทางบินจากเฮลซิงกิถึงกรุงเทพฯ 7,913 กิโลเมตร บินที่ระดับสูงประมาณ 10,058 เมตร (33,000 ฟุต) - 11,277 เมตร (37,000 ฟุต) ด้วยความเร็ว 853 ไมล์ต่อชั่วโมงใช้เวลาบินทั้งสิ้น 9 ชั่วโมง 30 นาที อุณหภูมินอกเครื่องบินขณะบินอยู่ที่ -60 องศาเซลเซียส การบินในระดับนี้ตามหลักของเวชศาสตร์การบินต้องปรับความดันในเครื่องบิน ปริมาณออกซิเจนในอากาศและอุณหภูมิในเครื่องบิน

ขณะนั่งอยู่ในเครื่องบินอันยาวนาน ผมก็ได้เพื่อนใหม่อีกคนชื่อโอลิวิเออร์ เขานั่งติดกับผม ผมเริ่มต้นทักทายและสนทนากับเขาก่อน หลังจากนั้นเราก็คุยกันอย่างสนิทสนม โอลิวิเออร์เป็นคนลักเซมเบิร์ก เรียนจบปริญญาตรีทางด้านรัฐศาสตร์ (Political science) แต่ไปทำงานกับบริษัททำธุรกิจ ต้องบินไปมาระหว่างฝรั่งเศสกับอิตาลี ผมถามเขาว่าทำไมมาทำงานด้านนี้ เขาบอกว่าเขาต้องการจะทำให้คนซื้อสินค้าซื้อสินค้าอย่างมีเหตุมีผลที่เหมาะสม เขามีน้องสาวหนึ่งคน คุณพ่อได้มาแต่งงานใหม่กับสาวไทยอยู่ที่กรุงเทพฯ เขาจึงถือโอกาสมาหาพ่อในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ตอนนั่งเครื่องมา เขาแทบไม่ได้หลับเลยเนื่องจากเขาเป็นคนสูงทำให้นั่งค่อนข้างลำบาก เขาดื่มไวน์เพื่อจะให้หลับ แต่ก็ไม่หลับ ส่วนผมตัวเล็กนั่งสบายพอนอนหลับได้บ้าง แต่ไม่สนิทนัก ผมชวนเขาไปเที่ยวตากและสุโขทัย แต่เขาไม่มีเวลาพอ เขาชวนผมไปเที่ยวลักเซมเบิร์กแทน เป็นครั้งแรกที่เขามาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดูเขาชื่นชมความงามของสนามบินมาก ผมบอกเขาว่าช่วงที่รอเปลี่ยนเครื่องบิน ผมออกไปเที่ยวในตัวเมืองมา เขาเสียดายมากนั่งรอตั้งห้าชั่วโมง เสียเวลาไปเปล่าๆ ผมเองก็ต้องขอบคุณพี่เกษมที่ชี้แนะไว้ให้ไปเที่ยวในตัวเมือง

อาหารที่เสิร์ฟบนเครื่องบินเป็นอาหารแบบยุโรป มื้อแรกก็ทานได้เพราะหิวและรสจัดพอควร พอมื้อก่อนลงจากเครื่องรสจืดมากจนเลี่ยน ผมแทบไม่ได้ทานเลยใจนึกไปถึงอาหารไทยๆ ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่างหรือแกงเผ็ดๆที่ห่างไปนาน ที่รู้สึกคุ้นเคยก็คงเป็นน้ำเปล่ากับโคคาโคลา ช่วยให้สดชื่นขึ้นมาได้บ้าง พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินมีคนไทยสองคน เป็นผู้ชายหนึ่งคน ผู้หญิงหนึ่งคน การประกาศในเครื่องก็มีประกาศทั้งภาษาอังกฤษ ฟินแลนด์และไทย การบริการบนเครื่องบินถือว่าดีมาก

ผมลงเครื่องบินที่สนามบินสวรรณภูมิเวลา 10.39 น.ของวันอังคารที่ 25 ธันวาคม สัมผัสกับอากาศภายนอกสนามบินที่ 33 องศาเซลเซียส หลังจากรอกระเป๋าสัมภาระเกือบชั่วโมง นับรวมเวลานั่งเครื่องบินทั้งหมดจากบรัสเซลส์จนถึงกรุงเทพฯถึง 13 ชั่วโมง ผมลากกระเป๋าไปเช็คอินต่อที่เคาน์เตอร์ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ไปลงที่สนามบินสุโขทัย หลังหาอาหารกลางวันทานแล้วผมก็ได้เข้าไปนั่งพักในห้องพักรับรองของสายการบินที่จัดไว้อย่างดี สายการบินบางกอกแอร์เวย์มีห้องรับรองผู้โดยสารทุกคนพร้อมอาหารว่างและเครื่องดื่มไว้บริการ มีอินเตอร์เน็ตให้ใช้ได้ฟรี ผมมีบัตรพรีเมียร์ได้เข้าไปพักคอยอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นสัดส่วนและเงียบมากกว่า มีห้องน้ำภายใน ทำให้ผมได้อาศัยงีบหลับไปได้ เวลา 15.45 น.ก็เริ่มเดินทางเป็นเครื่องบินเอทีอาร์ 72 -500 ลำไม่ใหญ่นัก แต่ก็ถือว่าสะดวกสบาย การบริการดีมาก เครื่องบินขนาดนี้บินได้สูงไม่เกิน 25,000 ฟุต ด้วยความเร็วไม่เกิน 509 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ช่วงก่อนไปเบลเยียม ผมใช้บริการของบางกอกแอร์เวย์เป็นส่วนใหญ่เพราะเวลาค่อนข้างสะดวก อยู่ไม่ไกลจากจังหวัดตากมากนัก มีสองเที่ยวเช้ากับเย็น ช่วงก่อนๆผมเคยไปใช้บริการการบินไทยที่พิษณุโลกบ่อยกว่า แต่ต้องนั่งรถต่อไปอีกเกือบหกสิบกิโล เวลาบินค่อนข้างไม่สะดวก เที่ยวเช้าก็เช้าตรู่ ส่วนเที่ยวเย็นก็สี่ทุ่มครึ่ง พอเปลี่ยนมาใช้ที่สุโขทัยแล้ว สะดวกกว่ามาก ห้องพักผู้โดยสารก็ดี มีอาหารว่างให้ทานแก้หิวได้ สนามบินสุโขทัยได้ชื่อว่าเป็นสนามบินที่สวยที่สุด ในแต่ละเที่ยวบินของบางกอกแอร์เวย์ที่มาลงที่สุโขทัย มีผู้โดยสารไม่มากนัก ผมคิดดูแล้วอาจขาดทุน แต่ก็ทราบว่าในเที่ยวบินไปสมุยได้กำไรมากพอที่จะชดเชยกันไปได้ ผมนึกภาวนาในใจว่าขอให้สนามบินสุโขทัยและเที่ยวบินลงสุโขทัยที่ได้ชื่อว่าเมืองมรดกโลกให้อยู่ต่อไปได้ สนามบินอยู่ห่างจากบ้านเกิดผมไม่ถึง 15 กิโลเมตร เครื่องบินใช้เวลาบินประมาณ 50 นาที ถึงสุโขทัยเวลา 17.10 น. ผมรู้สึกว่าใจผมบินเร็วกว่าเครื่องบินมาก ผมลงเหยียบผืนแผ่นดินไทยเป็นครั้งแรกในรอบสี่เดือนที่อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย จังหวัดบ้านเกิดของผมนี่เอง

เดินออกจากช่องทางออก น้องขิมกับขลุ่ยก็วิ่งมาหาพ่อด้วยความดีใจ ภรรยากับเจ้าป้อมไปรับด้วย ส่วนแม่อยู่ทำกับข้าวรอที่บ้านพัก น้องแคนยังไม่กลับจากโรงเรียน ตอนขับรถกลับตากน้องขลุ่ยกับน้องขิมไม่ห่างเลย หอมแก้มพ่อมาตลอดทาง ผมมองเห็นความดีใจของภรรยาที่ผ่านมาทางรอยยิ้มและแววตา พอถึงบ้านพักผมเข้าไปสวัสดีแม่และกอดหอมแก้มแม่อย่างมีความสุข แม่ยังคงเหมือนเดิมเสมอ ตั้งแต่ผมยังเล็กจนทุกวันนี้ อ้อมกอดของแม่คงความอบอุ่นไม่เสื่อมคลาย น้องแคนเข้ามาสวัสดีและกอดพ่อด้วยรอยยิ้ม น้องชาย (ชัย) น้องสะใภ้ (กุ้ง) หลานสาว (มิ้น) มานั่งคุยด้วย คืนนั้นห้าคนพ่อแม่ลูกนอนรวมกันในห้องนอนกอดกันอย่างอบอุ่นหลังจากที่ห่างกันไปหลายเดือน ต้องขอบคุณพี่ตุ๊ก (พรจันทร์) แห่งสุวรรณภูมิแอร์ที่ช่วยจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ได้ในเวลากระชั้นชิดก่อนเดินทางและทำให้ผมได้ไปเยือนเฮลซิงกิอย่างไม่คาดฝัน

พิเชฐ  บัญญัติ

บ้านพักโรงพยาบาลบ้านตาก จังหวัดตาก

2 มกราคม 2551, 14.20 น.เมืองไทย

 

หมายเลขบันทึก: 157027เขียนเมื่อ 2 มกราคม 2008 15:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 10:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

สวัสดีเจ้าค่ะ คุณน้าหมอ

          คุณน้าหมอ สบายดีไหมเจ้าค่ะ ...ไม่ได้เข้ามาเยี่ยมนานมาก ...เพราะว่ามีภารกิจเยอะมากๆ...แถมคอมก็เข้าเน็ตไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เข้าได้ คิคิ ดีใจสุดๆไปเลยเจ้าค่ะ สวัสดีปีใหม่นะค่ะ คุณน้าหมอ ขอให้คุณน้าหมอ มีความสุขมากๆ คิดสิ่งใดขอให้สมความปราถนา แล้วก็ มีสุขภาพที่แข็งแรง เพื่อที่จะรักษาคนอื่นให้แข็งแรงต่อไปค่ะ....

          ตอนนี้หนูติดคณะอักษรศาสตร์ ม.ศิลปากร ด้วยนะค่ะ   เป็นกำลังใจให้คุณน้าหมอค่ะ -------> น้องจิ ^_^

สวัสดีน้องจิ

ขอให้อวยพรสิ่งดีๆทุกประการให้แด่น้องจิและครอบครัว

ขอแสงความยินดีที่สอบติดคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และคงจะมีข่าวดีสอบติดอีกหลายๆแห่งตามมา

ส่งกำลังใจกลับไปให้เช่นกันครับ เยาวชนคนเก่ง

เราไม่เข้าnet นานมากๆ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ากลับมาเมืองไทย หลงส่งคำอวยพรโดยที่นึกว่าอยู่เบลเยี่ยม อย่าถือสาเลยนะ(แถมhappy new year 2007 อีกต่างหาก) อย่างไรก็ตามเราว่าบันทึกที่เธอเขียนเนี่ยะเข้าใกล้พรรณนาโวหารระดับคุณปิยะพร ศักดิ์เกษมแล้วล่ะเราชอบนะทำให้คนที่ไม่ได้ไปเมืองนอกมองเห็นภาพเลย เราจะติดตามต่อไป ฝากความระลึกถึงทุกๆคนในครอบคัวด้วยนะ ปุ๋ย

สวัสดีปุ๋ย

ขอบคุณมากสำหรับคำอวยพร ขอส่งกลับให้ปุ๋ยและครอบครัวด้วยนะ ขอบคุณสำหรับคำชม เราเป็นนักเขียนฝึกหัดอยู่ พยายามฝึกใช้ภาษาเขียนแทนรูปภาพ เพื่อบรรยายให้คนอ่านเห็นภาพ

สวัสดีครับอาจารย์Naree

ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันครับ เข้าไปชมโปสการ์ดแล้ว สวยและมีคุณค่ามากครับ

สวัสดีค่ะ

แวะมาอ่านเรื่องราวการเดินทางและเมืองเฮลซิงกิ

ค่อยๆอ่านพร้อมกับนึกภาพตามไปด้วย แต่บางจังหวะก็นึกภาพไม่ออกค่ะ เพราะไม่เคยเห็น อิอิ

ขอบคุณนะคะ

ขอทักภาษาฟินหน่อยนะครับ

"Tervetuloa uudelleen Helsinkiin" ความหมายก็

"ยินดีต้อนรับ ใหม่อีกครั้ง กรุงเฮลซิงกิ" ครับ

สวัสดีครับคุณหมอ

ผมหาข้อมูลเฮลซิงกิช่วงคริสมาสต์ปีใหม่ จึงมาเจอเวปคุณหมอครับ

จะรบกวนถามเรื่องถนนหนทางในเฮลซิงกิว่า ปลายธันวาคมมีหิมะเต็มถนนเลยรึป่าวครับ

เดินเที่ยวในเมืองได้ไม๊ ร้านค้า ศูนย์การค้า ปิดหมดหรือเปล่าครับ

ผมคงต้องอยู่ที่นั่นวันที่ 31 ธ.ค และ 1 ม.ค. 2552 เพราะตั๋วเครื่องบินเต็ม กลับพร้อมกรุ๊ปไม่ได้

และพอจะแนะนำโรงแรมที่อยู่ใกล้แหล่งชอปปิ้งหรือดาวน์ทาวได้ป่าวครับ

ขอบพระคุณมากครับที่กรุณาให้ข้อมูล

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท