กลับมาเถิด...วันวาน


..เวลาไม่อาจย้อนคืนกลับมาได้ก็จริง แต่...สิ่งดีๆด้านวัฒนธรรมเมื่อวันวานเราสามารถ เรียกร้องและทำให้ย้อนกลับมาได้..ถ้าเราช่วยกันครับ.

 

กลับมาเถิด...วันวาน

ขณะที่เราวิ่งไล่อนาคต  เราก็มักถามหาอดีต เพราะในสิ่งที่อนาคตมี  มักไม่มีในอดีต   สิ่งที่มีในอดีต มักไม่มีในอนาคต          เราจึงเจอสภาพจำยอม  ถ้าได้อะไรอย่างหนึ่งก็ต้องยอมเสียอะไรอีกอย่างหนึ่ง  หรือหลายๆอย่างไป  ทำไมเราไม่พยายามที่จะทำให้ได้อนาคตมา  และรักษาอดีตที่ดีๆไว้

          ผมเชื่อว่า  ถ้าเราพยายามจริงๆ  เราอาจรักษาสิ่งที่ดีๆในอดีตเหล่านั้นไว้ได้  ถ้าพวกเราส่วนใหญ่ร่วมมือกันจริงๆ 

        เมื่อก่อนวัฒนธรรมน้ำใจไหลรินไม่ขาดสาย  มากับการปลูกฝัง หล่อหลอม กับวิถีชีวิตในชุมชนที่หลากหลายวิธี   เช่น..ยามที่เรากินก๋วยเตี๋ยว  หรือข้าวแกงในสมัยก่อน เพียงขอน้ำแข็งเปล่า  หนึ่งแก้ว  เราก็จะได้ดื่มน้ำแข็งเปล่าที่มีน้ำชาใส่น้ำแข็งให้ได้ดื่มชื่นใจ  โดยไม่ต้องจ่ายสตางค์ค่าน้ำแม้แต่แดงเดียว

          เรียกว่า ก๋วยเตี๋ยวจ่ายตังค์  แต่น้ำแข็งเปล่าแถมฟรี!   ดื่มน้ำชาหมดแก้วไม่ต้องขอเติมให้เสียเวลา  บนโต๊ะมีกาน้ำชาวางไว้เป็นรีฟิว  พร้อมเติมได้ตลอดเวลา

         เราเลยแยกไม่ค่อยออกว่า.. เราอิ่มท้องจากก๋วยเตี๋ยว  หรืออิ่มจากน้ำแข็งเปล่ากันแน่  สำหรับพวก ท้องไห..ลำไส้ท่อ  กินไม่รู้จักอิ่ม สั่งก๋วยเตี๋ยวชามเดียว  แต่ขอถั่วงอกดิบ  ยังกับรถถั่วงอกคว่ำ     อาเจ้ อาซิ้ม อาแปะ  สมัยก่อนก็ดีใจหายหยิบใส่ชามก๋วยเตี๋ยวให้มาเป็นชามๆ   แหม...แล้วไอ้ก๋วยเตี๋ยวเนื้อกับถั่วงอกดิบเนี่ย...มันเข้ากั๊น  เข้ากัน  บางรายอิ่มจนท้องแน่น..มีเรอ  สั่งลาก่อนออกจากร้านเสียด้วย..

          ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ล้วนแต่แถมฟรีทั้งนั้น!!   น้ำใจล้วนๆ  ไม่มีเรื่องเงินๆทองๆมาเป็นส่วนเกิน  นี่ยังไม่รวมเรื่อง..ซดน้ำก๋วยเตี๋ยวจนแห้งขอดชาม  แล้วไปขอน้ำเติมน้ำซุปเพิ่มนะเนี่ย...

          แต่ก่อน... การให้เป็นเรื่องที่อยู่ในวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตจนกลายเป็นเรื่องปกติ.. ให้โดยที่ไม่ต้องร้องขอ..อ้อนวอน  ให้เพราะผู้ให้รู้สึกอิ่มเอม  มีความสุข  สายตาของผู้ให้มองผู้รับด้วยความเอ็นดู  และมีเมตตา.... ไม่ได้มีแววตาเยาะเย้ย  ถากถาง หรือสมเพส แม้แต่น้อย.. แม้ผู้ให้จะอยู่เหนือผู้รับก็ตาม

          

            ดูเวลาเราหยิบยื่นสิ่งของให้ผู้อื่น.. เราจะเห็นมือของผู้ให้..อยู่เหนือมือของผู้รับ....อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  การให้มิใช่เป็นการสูญเสียในความรู้สึกของผม   แต่..การให้เป็นการได้รับของผู้ให้  มันคือความสุขที่แท้จากการได้เป็นผู้ให้

          ผมเห็นวัฒนธรรมน้ำใจจากการให้ทางภาคเหนือเมื่อนานมาแล้ว ... ด้วยการเอาโอ่งน้ำเล็กๆพร้อมกระบวยมาวางไว้หน้าบ้านให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ดื่มแก้กระหาย  มันช่างเป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมน้ำใจ  ที่ลึกซึ้งเสียจริงๆ  มาวันนี้ภาพเหล่านั้น...บางตาลง ไม่ค่อยมีให้ได้พบเห็นแล้ว..  ด้วยเพราะถูกวัฒนธรรมทุนนิยมครอบงำ....และกลืนกินวัฒนธรรมน้ำใจไปเสียหมดสิ้น   จะเห็นหน้าบ้านที่มีโอ่งน้ำเล็กๆ มีกระบวยแขวนไว้... ก็ต้องออกไปนอกเมือง หรือออกไปไกลโพ้น..ที่วัฒนธรรมความเจริญยังแทรกซึมเข้าไปไม่ค่อยถึง ...

          มีพรรคพวกกัน  เอาวัฒนธรรมน้ำใจนี้มาใช้ในกรุงเทพ  จัดแจงซื้อโอ่งน้ำ..ซื้อกระบวยตักน้ำ..ทำแท่นวางไว้นอกรั้วหน้าบ้าน  ด้วยความตั้งใจดีและมีความสุขกับวัฒนธรรมที่ได้พบเห็นมาจึงอยากนำมาแบ่งปัน...

          รุ่งขึ้นเช้า..  หายทั้งโอ่ง..หายทั้งกระบวย !! ”   โอ้....นี่ถ้ามันถอนแท่นที่วางโอ่งไปได้ มันคงเอาไปด้วยแล้ว  ผมถึงบอกไงครับ ว่า ! ..สิ่งดีๆทีในวันวาน  มันเริ่มค่อยๆหายไป  เหมือนอย่างที่ผมพยายามเรียกร้อง  ให้วัฒนธรรม การลงแขก   กลับคืนมา  หลังจากที่ศัพท์คำนี้ถูกยืมไปทำเสียป่นปี้  จนไม่เหลือภาพลักษณ์ของวัฒนธรรมน้ำใจ  แต่กลับกลายไปเป็นการเรียงคิวไปเสียฉิบ  

          วัฒนธรรม ลงแขก เป็นวัฒนธรรมน้ำใจในชุมชน  เป็นการร่วมแรงร่วมใจเกื้อกูลซึ่งกันละกัน  โดยไม่มีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง  แต่เมื่อคนชุมชนเข้ามาขายแรงงานในเมือง  ก็รับเอาวัฒนธรรมคนเมือง   ที่ทุกอย่างดูจะต้องซื้อต้องขาย  ไม่มีให้กันฟรีๆ  วัฒนธรรม ลงแขก   จึงถูกกลืนหายไป....

          จนมาถึงวันนี้เริ่มมีหลายชุมชน..หลายจังหวัดหันมาฟื้นฟู  ให้   การลงแขก   หวนคืนกลับมาอีกครั้ง สิ่งดีๆเหล่านี้ต้องช่วยกันครับ..ช่วยกันดึงให้กลับคืนมา  สังคมเราจะได้น่าอยู่ยิ่งขึ้น

          เหมือนความมีคุณค่าในอดีตที่ปลูกฝังกันตั้งแต่ร้านกาแฟ...ที่อาแปะขายกาแฟ เอาปาท่องโก๋ หรือขนมใส่จานวางไว้บนโต๊ะกาแฟ  ให้ลูกค้าได้กินกับชาร้อน..กาแฟร้อนโบราณได้ตามอัธยาศัย   กินเสร็จ..เรียกอาแปะมาคิดสตางค์  อาแปะก็จะถามลูกค้าว่ากินปาท่องโก๋ไปกี่ตัว...ลูกค้าก็บอกไปตามที่กินจริง   อาแปะก็คิดเงินไปตามนั้น  ไม่มีการโก่งราคา  หรือมีเซอร์วิสชาร์ต ในขณะที่ลูกค้าก็ไม่โกหก  กินกี่ตัวก็บอกไปตามจริง  ต่างคนต่างซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน  เชื่อใจซึ่งกันและกัน   วัฒนธรรม คุณธรรม จริยธรรม..เหล่านี้หายไปไหน  พวกเราคนไทยต้องช่วยกันทวงถาม  และตามคืนมาให้ได้

           ท่านผู้อ่านคิดว่า .. มี วัฒนธรรม คุณธรรม จริยธรรม..ที่ดีอะไรบ้างที่เราอยากให้ย้อนกลับคืนมา...  มาเล่าสู่กันฟังบ้างซิครับ!    เพราะด้วยว่า..เวลาไม่อาจย้อนคืนกลับมาได้ก็จริง   แต่...สิ่งดีๆด้านวัฒนธรรมเมื่อวันวานเราสามารถ เรียกร้องและทำให้ย้อนกลับมาได้..ถ้าเราช่วยกันครับ. 
 
 
 
   
  
คำสำคัญ (Tags): #ลงแขก
หมายเลขบันทึก: 154866เขียนเมื่อ 20 ธันวาคม 2007 02:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:03 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สวัสดีค่ะ อาจารย์พนม

อ่านบันทึกนี้แล้ว สะกิดใจจริงๆ ค่ะ เรียกได้ว่าวัฒนธรรมที่ดีๆ เริ่มหายไปมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเรื่องใหญ่ๆ ก็ถูกลืมไปแล้วเช่นกัน

คำว่า ลงแขก ที่อาจารย์เขียนไว้ในบันทึก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงามก็ได้ถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ค่อยจะดีเสียแล้ว

ขอบคุณมากๆ ค่ะ ที่ได้เขียนบันทึกนี้เพื่อสะกิดสังคมไทยคะ

เสียดายเวลามั่ก..มากกกก.. OOHOOH  ติดตามผลงานที่เกี่ยวกับ talkshow  ของ อ.มาค่อนข้างจาตาหลอด..เพิ่งจะมาเจอใน blog  ขออนุญาตดึงเข้า แพลนเน็ต พระปิลันธน์  หน่อยนะคะ  (O.K. ได้)  ขอบคุณค่ะ
หนูคิดว่า ขอแค่ทุกคน รักษาศีล 5 ของแต่ละคนได้ก่อน ทุกอย่างจะตามมาเอง เพาระบุญกศุลจากการรักษาศีล ทำให้ผู้คนอ่อนโยน มีเมตตา เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น และกลัวการทำปาป
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท