บันทึกนี้ เป็นภาคจบของ วิวัฒนาการ .. แนวความคิดที่จะนำ "มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ" ของไทย (1)
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
ภายหลังจากการจัดประชุมทางวิชาการแล้ว มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้พิจารณาทางเลือก แล้วตัดสินใจแจ้งความจำนง ที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ที่ไม่เป็นส่วนราชการ 18 แห่ง ทบวงมหาวิทยาลัยจึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาแนวทางการพัฒนาระบบบริหารสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ไปสู่ความเป็นอิสระ เพื่อจัดทำแผนและขั้นตอนในการดำเนินงานดังกล่าว โดยคาดว่า จะนำร่างพระราชบัญญัติ ทั้ง 18 ฉบับ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ภายในเดือนตุลาคม พ.ศ.2534 เนื่องจากไม่แน่ใจว่า รัฐบาลชุดต่อไปจะให้ความอิสระหรือไม่ เพราะประสบการณ์ 30 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีแต่จะควบคุมมหาวิทยาลัยให้เป็นส่วนราชการมากขึ้น
คณะอนุกรรมการดังกล่าว ได้ประชุมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2534 กำหนดหลักการและสาระสำคัญของมหาวิทยาลัย ในกำกับของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการไว้ อย่างชัดเจน พอสมควร
วันที่ 3 กันยายน พ.ศ.2534 คณะอนุกรรมการได้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำรายละเอียดการปรับเปลี่ยนระบบขึ้นมา ทั้งด้านการบริหารงานบุคคล การเงิน และทรัพย์สิน การจัดองค์กรการบริหาร รวมทั้งการปรับปรุงกฏข้อบังคับต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย
ทบวงมหาวิทยาลัยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการพัฒนาระบบบริหารสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ไปสู่ความเป็นอิสระ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา 16 ฉบับ วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2534 และวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2534 เพื่อพิจารณาอนุมัติในหลักการ และนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป พร้อมทั้งขออนุมัติในหลักการที่จะสนับสนุนเงินงบประมาณให้แก่มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ในการปรับเปลี่ยนระบบดังกล่าวทั้งนี้นอกเหนือจากการเสนอปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับ วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2534
คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบในหลักการของแนวทางการพัฒนาระบบบริหารสถาบันอุดมศึกษา ให้มีความเป็นอิสระและคล่องตัวดังกล่าว ตามหนังสือสำนักงานราชเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ที่ นร 0206/10750 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ.2534 รวมทั้งมีมติให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 16 ฉบับ กับร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับ ตามหนังสือสำนักงานเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ที่ นร 0203/2953 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535 และให้ส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ซึ่งก็ได้มีการประชุมให้ความเห็นชอบในหลักการ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535 และส่งให้คณะกรรมาธิการศึกษาและวัฒนธรรม พิจารณาตรวจร่าง พ.ร.บ. เหล่านั้น ซึ่งได้เสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2535 แต่ไม่ได้รับการพิจารณา เนื่องจากที่ประชุมเห็นว่า เรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ จึงมีมติให้เลื่อนการพิจารณาออกไป และโดยที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้หมดอายุลง จึงทำให้ร่างพระราชบัญญัติทั้งหมดตกไป โดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม จากนโยบายด้านการบริหารของแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ปี ของทบวงมหาวิทยาลัย ใน พ.ศ.2535 มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และ พ.ศ.2541 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จึงมีรูปแบบการบริหารเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐไม่เป็นส่วนราชการ เพิ่มขึ้น ทิศทางการพัฒนาความเป็นอิสระของมหาวิทยาลัย ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 36 ได้กำหนดให้สถานศึกษาของรัฐ ที่จัดการศึกษาระดับปริญญา เป็นนิติบุคคล มีทางเลือกระบบบริหารได้ 2 ทาง คือ
โดยให้สถานศึกษาดังกล่าว ดำเนินการได้โดยอิสระ สามารถพัฒนาระบบบริหาร และการจัดการที่เป็นของตนเอง มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแล ของสภาสถานศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถานศึกษานั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2541 คณะรัฐมนตรีได้มีมติใหความเห็นชอบเงื่อนไขในการกู้เงินจากธนาคารเอเชีย ซึ่งมีกรอบนโยบายที่สำคัญ 2 ประการ คือ
และเพื่อรับรองความมีอิสระของมหาวิทยาลัย ตามมติรัฐมนตรี วันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2541 ทบวงมหาวิทยาลัยได้ออกระเบียบโอนเงินประจำงวดของมหาวิทยาลัย วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2542 มอบอำนาจทางการเงิน และงบประมาณให้มหาวิทยาลัย สามารถโอน หรือ เปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่มิใช่เงินเดือน กับมอบอำนาจการบริหารงานบุคคลให้มหาวิทยาลัย สามารถดำเนินการได้เอง ในเรื่องการกำหนดตำแหน่ง การบรรจุ การจ้าง การแต่งตั้ง การโยกย้าย การจ้างบุคคลเข้าทำงาน และแต่งตั้งตำแหน่งทางวิชาการ จนถึงรองศาสตราจารย์
ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยของรัฐได้เสนอร่างพระราชบัญญัติต่อทบวงมหาวิทยาลัย เพื่อปรับเปลี่ยนสถานภาพ จากมหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการ เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล 11 แห่ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการแล้วส่วนใหญ่
นี่คือ เนื้อความตอนจบ เรื่องราวของวิวัฒนาการ ... แนวความคิดที่จะนำ "มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ" ของไทย
ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหิดล ออกนอกระบบ และเกิดการประท้วงภายในกันสนุกสนาน
นำเสนอทำไม ... อยากให้ทราบว่า แนวคิดนี้ มีมาเกือบ 40 ปีแล้วล่ะครับ
เพียง "ผลประโยชน์ส่วนตัวไม่ลงตัว" ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันทุกสถาบัน
อีกนานกว่าจะสำเร็จเหมือนเมืองนอกเขา .. รอข้าราชการที่ไม่เห็นด้วยหมดมหาวิทยาลัยก่อนล่ะมั้ง รอผู้บริหารเปลี่ยนจากคนบ้าอำนาจ เป็น คนดีก่อน .. FOR LONG TIME
ขอบคุณแหล่งอ้างอิงนี้ ครับ
แหล่งอ้างอิง
ทินพันธุ์ นาคะตะ. (2546). มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล. กรุงเทพฯ: สหายบล็อกและการพิมพ์.
"ผลประโยชน์ทับซ้อน" จริงๆ ในการออกนอกระบบนี้ การจัดการความขัดแย้ง (ทางผลประโยชน์) อันนี้น่าจะเป็นวิชาหนึ่ง ในมหาวิทยาลัยนะ 555 ^^
"วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน" ดีไหมครับอาจารย์ ครูgisชนบท 555
ขอบคุณครับ