วันนี้...ตั้งใจจะไปทักทายพระอาทิตย์ยามเช้า ที่ “ผานกแอ่น” อีกสถานที่หนึ่งที่ต้องไปเยี่ยมเยือนให้ได้ เมื่อมาถึงภูฯ เมื่อคืนได้ยินเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ประกาศให้นักท่องเที่ยวที่จะไปที่ผานกแอ่น ให้มารวมตัวกันที่ที่ทำการอุทยานฯ เวลา 05.00 น. นัดกับพี่เพชรไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตั้งเวลาปลุกไว้ 04.30 น.(ของคุณแม่) ส่วนของคุณลูก ตั้งไว้ 04.00 น. (โห..สงสัยกลัวพลาด) ส่วนอีก 3 หนุ่ม ชวนไปแล้ว ท่าทางจะกินแห้ว เพราะดูอาการแล้ว ท่าจะยาก...
ถึงเวลาเข้าจริง ที่จะตื่นตี 4 กลับต้องตื่นเร็วกว่านั้น ด้วยเสียงตะโกนจากเต็นท์ข้างๆ “เพิ่งรู้ว่าอากาศที่ภูกระดึง Mun หนาวจังโว้ยยยยยย....” อืม!!! เพิ่งรู้เหมือนกันค่ะ...เตรียมอุปกรณ์พร้อมเสร็จสรรพ ที่ลืมไม่ได้คือ ไฟฉาย กับกล้องถ่ายรูป ส่วนเสื้อผ้าให้ไออุ่น ไม่ต้องพูดถึง ดูเหมือนวันนั้นใส่เสื้อ (หนาวหนาๆ) 4 ตัว..น้องเพชรเห็นแล้วถึงกับทัก... “ทำไมแม่ดูอ้วนจัง” ก็ใส่เสื้อกันหนาวซะขนาดนั้น ไม่อ้วนได้ไงเนี่ย...(แต่หนูก็ไม่ควรทักนะลูก...แป่วววว...)
ไปถึงที่ทำการอุทยานฯ ซึ่งเป็นที่นัดหมาย (อยู่ห่างจากที่กางเต็นท์ประมาณ 40 เมตร)เจ้าหน้าที่รวมพล มีนักท่องเที่ยวที่พิสมัยแสงอรุณยามเช้าของพระอาทิตย์ที่หน้าผานกแอ่น อยู่เกือบ 100 คน (น่าให้เกียรติบัตรที่อุตส่าห์มีความมานะลุกมาจากผ้าห่มอุ่นๆ ได้) เจ้าหน้าที่บอกว่า เราจะออกเดินทางกันได้ต้องประมาณ 05.30 น. เค้าจะให้เจ้าหน้าที่ฯ ไปสำรวจเส้นทางเดินเท้าที่จะไปหน้าผาฯ ก่อน เพราะว่า..ระหว่างทางจะมีช้างป่า ลงมาหากินทั้งบนเส้นทางเดินเท้าและข้างทางอยู่มาก และเคยมีนักท่องเที่ยวได้รับอันตรายจากช้างป่าดังกล่าว (แต่เป็นเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่งที่ผ่านร้านอาหาร ซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมของช้างป่าของแท้) ทางอุทยานฯ จึงเคร่งครัดเรื่องการออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้ามากขึ้น ระหว่างรอ จึงได้เดินดูบริเวณห้องโถงของอุทยานฯ ที่จัดบอร์ดเกี่ยวกับพืชพรรณไม้ และสถานที่ท่องเที่ยวของภูกระดึง...สวยๆ จนทำให้มีกำลังใจที่จะเดินอีกโขเลย...(บางสถานที่เป็นป่าปิด...แต่ขอบอกว่า...สวยอย่างแรง)
เมื่อได้รับสัญญาณให้เดินทางได้...(นั่นหมายถึง เจ้าหน้าที่ชุดแรกที่ออกไปสำรวจเส้นทาง ถึงหน้าผาฯ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง) พวกเรานักท่องเที่ยวเดินตามเจ้าหน้าที่ที่นำทางกันเป็นแถว เราสองคนโชคดีที่เดินทางหลังเจ้าหน้าที่ไปติดๆ เพราะได้ยินน้องที่เดินตามมาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนว่า ข้างหลังฝุ่นเยอะมาก คงจะจริง เพราะทางเดินเท้าเป็นดินแห้งปนทราย ที่มีฝุ่นพอสมควร คนเดินกันเป็นร้อย ฝุ่นย่อมขึ้นเป็นธรรมดา… “เอาน่า ทนหน่อย...เดี๋ยวก็ถึง” (เพื่อนเค้าตอบกลับเพื่อนไปว่างั้น...)
ระหว่างทางเดิน นักท่องเที่ยว (รวมทั้งเราและน้องเพชร) ก็จะส่องไฟฉายดูข้างๆ ทางไปตลอดทาง (เห็นเจ้าหน้าที่นำทางเค้าทำ..เลยทำมั่ง) ยังนึกอยู่ในใจว่า...ถ้าเจอตาใสๆ ของช้างป่าจ้องสวนกลับมา จะเป็นอย่างไร เจ้าประคู๊ณณณณณ...อย่าเจอเลย..(โชคดีที่ไม่เจอ)...แอบกระซิบกับตัวเองว่า...ก็ดูเหมือนจะมีอันตราย (ถ้าอย่างที่เค้าเล่ามา) แต่คนก็ยังดั้นด้นมา..เออหนอ (เราด้วย แหล่ะ) ...เอาน่า..ชีวิตคือการต่อสู้ ช้างป่าคือยาชูกำลัง ท่องไว้ๆ..
http://www.slide.com/r/sNgX4rmSyT_r44Qzd3-tAppl4xo257Fo?view=original
ไม่มีความเห็น